Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
Link :
39
“แปดโมงเช้าวันจันทร์ถึงค่อยเอามาส่งที่ดาดฟ้า เข้าใจมั้ย!” คำสั่งประกาศิตจากโค้ชที่บอกว่าจะยอมรับใบสมัครเข้าชมรมในวันที่และเวลาที่กำหนดเท่านั้น
ถึงจะได้ลองแข่งมินิเกมไปครั้งนึงแล้วร่วมซ้อมไปสองสามครั้งแต่ก็ยังไม่ถือเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์สินะ
คุโรโกะคิดพลางเดินไปห้องสมุดเพื่อหาที่อ่านหนังสือเงียบๆอย่างที่ชอบทำ แต่ก็สังเกตุเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนกำลังยืนอ่านป้ายโฆษณาที่อยู่หน้าห้องอย่างตั้งใจ
“หืมม ชมรมบาสที่นี่เองก็ท่าทางไม่เบาเหมือนกันแฮะ” คางามิพึมพัมกับตัวเอง
และแน่นอนว่าไม่สังเกตเห็นร่างเล็กกว่าที่มายืนอยู่ข้าง ๆจนกระทั่งเจ้าตัวทักขึ้น
“ถือว่าเก่งเลยล่ะครับ”
“!!!” ร่างสูงโปร่งสะดุ้งสุดตัวก่อนจะแหกปากร้องลั่น “แก๊!! โผล่มาดีๆเหมือนคนปกติไม่ได้เรอะ!!?”
คุโรโกะเอานิ้วจุ๊ปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบเนื่องจากพวกเขากำลังอยู่หน้าห้องสมุด และคุณบรรณารักษ์ก็กำลังมองตาเขียวแล้วด้วย อันที่จริงเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะยังไงคนก็ไม่ค่อยสังเกต แต่คนผมแดงนี่สิโคตรจะเป็นจุดเด่นเลย
มือใหญ่หิ้วศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาประหนึ่งเป็นลูกบาสเก็ตบอลอย่างคั่งแค้น นี่เขาเกือบจะหัวใจวายตายวันละหลายๆรอบแล้วตั้งแต่รู้จักกับหมอนี่
ทั้งที่ปกติก็แค่คนจืดจางธรรมดาแท้ๆ แต่พออยู่ในสนามกับมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อเลยว่าหมอนี่จะเป็นผู้เล่นคนที่หกแห่งเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ที่แสนโด่งดังนั่น
แต่จะว่าไป ทั้งที่เป็นอดีตผู้เล่นทีมชื่อดังขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อด้านบาสเก็ตบอลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?
ร่างสูงครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ แต่เมื่อตั้งใจจะหันไปถาม เจ้าตัวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
.
ถึงจะได้ลองแข่งมินิเกมไปครั้งนึงแล้วร่วมซ้อมไปสองสามครั้งแต่ก็ยังไม่ถือเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์สินะ
คุโรโกะคิดพลางเดินไปห้องสมุดเพื่อหาที่อ่านหนังสือเงียบๆอย่างที่ชอบทำ แต่ก็สังเกตุเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนกำลังยืนอ่านป้ายโฆษณาที่อยู่หน้าห้องอย่างตั้งใจ
“หืมม ชมรมบาสที่นี่เองก็ท่าทางไม่เบาเหมือนกันแฮะ” คางามิพึมพัมกับตัวเอง
และแน่นอนว่าไม่สังเกตเห็นร่างเล็กกว่าที่มายืนอยู่ข้าง ๆจนกระทั่งเจ้าตัวทักขึ้น
“ถือว่าเก่งเลยล่ะครับ”
“!!!” ร่างสูงโปร่งสะดุ้งสุดตัวก่อนจะแหกปากร้องลั่น “แก๊!! โผล่มาดีๆเหมือนคนปกติไม่ได้เรอะ!!?”
คุโรโกะเอานิ้วจุ๊ปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบเนื่องจากพวกเขากำลังอยู่หน้าห้องสมุด และคุณบรรณารักษ์ก็กำลังมองตาเขียวแล้วด้วย อันที่จริงเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะยังไงคนก็ไม่ค่อยสังเกต แต่คนผมแดงนี่สิโคตรจะเป็นจุดเด่นเลย
มือใหญ่หิ้วศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาประหนึ่งเป็นลูกบาสเก็ตบอลอย่างคั่งแค้น นี่เขาเกือบจะหัวใจวายตายวันละหลายๆรอบแล้วตั้งแต่รู้จักกับหมอนี่
ทั้งที่ปกติก็แค่คนจืดจางธรรมดาแท้ๆ แต่พออยู่ในสนามกับมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อเลยว่าหมอนี่จะเป็นผู้เล่นคนที่หกแห่งเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ที่แสนโด่งดังนั่น
แต่จะว่าไป ทั้งที่เป็นอดีตผู้เล่นทีมชื่อดังขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อด้านบาสเก็ตบอลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?
ร่างสูงครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ แต่เมื่อตั้งใจจะหันไปถาม เจ้าตัวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
.
.
.
.
ปรากฏว่าเวลา 8:40 เช้าวันจันทร์นั้นเป็นเวลาเข้าแถวของโรงเรียนพอดิบพอดี และเงื่อนไขในการรับเข้าชมรมอย่างเต็มตัวก็คือ การประกาศความตั้งใจของตนเองบนดาดฟ้าต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนที่ยนเข้าแถวอยู่เบื้องล่างนั่นเอง
“ฉันไม่อยากได้คนที่คิดว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ก็ดี’ หรือ ‘สักวันคงทำได้’ หรอกนะ เพื่อเป้าหมายที่จะมุ่งไปเอาชนะในระดับประเทศให้ได้ ฉันต้องการคนที่พร้อมและตั้งใจจริงเท่านั้น!!” คำอธิบายจากปากโค้ชสาวทำเอาเหล่าปีหนึ่งอึ้งไปตามๆกัน ถึงกระนั้นในกระแสน้ำเสียงและแววตาก็ไม่ได้สื่อถึงความล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ แต่ถ้าใครพูดแล้วทำไม่ได้ ก็จะต้องแก้ผ้าสารภาพกับสาวที่ชอบนะจ๊ะ” ริโกะพูดพร้อมทั้งขยิบตาให้ เงื่อนไขในการเข้าชมรมที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครมิหนำซ้ำยังทำให้ถอนตัวก็ไม่ได้อีก
แต่ถึงกระนั้น ก็มีใครคนหนึ่งที่ปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียงอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“ปี 1-B คางามิ ไทกะ! จะโค่น ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ และขึ้นเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่น!!!” เสียงตะโกนก้องของเด็กหนุ่มผมแดงเรียกให้คนด้านล่างหันไปมองกันเกือบทั้งหมด ท่าทีทั้งประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ และขำขันไปพร้อมๆกันของนักเรียนในโรงเรียนเซย์ริน
นัยน์ตาสีฟ้ามองภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่บนราวระเบียงอย่างไม่กลัวตกพร้อมกับคำประกาศอย่างมั่นใจแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ตลอดช่วงม.ต้นที่ผ่านมาอย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องจะเอาชนะ ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ ให้ได้เลย แค่จะต่อกรหรือสู้อยู่บนสนามเดียวกันก็ยังไม่มีใครกล้าเลยด้วยซ้ำ
คนๆนี้ถ้าไม่มั่นใจในตัวเองมากก็คงจะบ้ามากเลยล่ะมั้ง
เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในตัวลูกทีมคนแรกที่ผ่านการทดสอบ ก่อนจะหันไปมองบรรดาเหยื่อที่เหลือซึ่งต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพอๆกัน
“ว่าไงล่ะ ไม่มีใครเลยเหรอ?”
“เอ่อ..ขอโทษครับ” คุโรโกะทักขึ้นจากด้านหลังทำเอาโค้ชสาวถึงกับสะดุ้ง ในมือถือโทรโข่งที่ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนภายในเวลาอันสั้น “ผมตะโกนเสียงดังไม่ค่อยเก่ง ขอใช้ไอ้นี่จะได้มั้ยครับ?”
เมื่อโค้ชพยักหน้าอนุญาต ร่างโปร่งจึงก้าวไปยืนตรงริมดาดฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะ..
“เฮ้ย!! พวกเธอชมรมบาส! ทำแบบนี้อีกแล้วนะ!!” ทว่าเสียงตะโกนอย่างดุร้ายของอาจารย์กลับดังขึ้นซะก่อน
ดูเหมือนว่ากิจกรรมการประกาศความตั้งใจที่จะเอาชนะระดับประเทศของพวกเขาคงจะไม่ได้อยู่ในข้ออนุมัติของทางโรงเรียนซักเท่าไหร่ ทำให้หลังจากนั้นพวกเขาอาจารย์บ่นเสียจนหูชาแถมยังต้องนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอีกเป็นชั่วโมงทำให้แทบลุกไม่ขึ้นอีกต่างหาก
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือถูกห้ามขึ้นไปตะโกนอะไรบนดาดฟ้าอีก...แบบนี้ก็แย่น่ะสิ
.
ปรากฏว่าเวลา 8:40 เช้าวันจันทร์นั้นเป็นเวลาเข้าแถวของโรงเรียนพอดิบพอดี และเงื่อนไขในการรับเข้าชมรมอย่างเต็มตัวก็คือ การประกาศความตั้งใจของตนเองบนดาดฟ้าต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนที่ยนเข้าแถวอยู่เบื้องล่างนั่นเอง
“ฉันไม่อยากได้คนที่คิดว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ก็ดี’ หรือ ‘สักวันคงทำได้’ หรอกนะ เพื่อเป้าหมายที่จะมุ่งไปเอาชนะในระดับประเทศให้ได้ ฉันต้องการคนที่พร้อมและตั้งใจจริงเท่านั้น!!” คำอธิบายจากปากโค้ชสาวทำเอาเหล่าปีหนึ่งอึ้งไปตามๆกัน ถึงกระนั้นในกระแสน้ำเสียงและแววตาก็ไม่ได้สื่อถึงความล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ แต่ถ้าใครพูดแล้วทำไม่ได้ ก็จะต้องแก้ผ้าสารภาพกับสาวที่ชอบนะจ๊ะ” ริโกะพูดพร้อมทั้งขยิบตาให้ เงื่อนไขในการเข้าชมรมที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครมิหนำซ้ำยังทำให้ถอนตัวก็ไม่ได้อีก
แต่ถึงกระนั้น ก็มีใครคนหนึ่งที่ปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียงอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“ปี 1-B คางามิ ไทกะ! จะโค่น ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ และขึ้นเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่น!!!” เสียงตะโกนก้องของเด็กหนุ่มผมแดงเรียกให้คนด้านล่างหันไปมองกันเกือบทั้งหมด ท่าทีทั้งประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ และขำขันไปพร้อมๆกันของนักเรียนในโรงเรียนเซย์ริน
นัยน์ตาสีฟ้ามองภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่บนราวระเบียงอย่างไม่กลัวตกพร้อมกับคำประกาศอย่างมั่นใจแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ตลอดช่วงม.ต้นที่ผ่านมาอย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องจะเอาชนะ ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ ให้ได้เลย แค่จะต่อกรหรือสู้อยู่บนสนามเดียวกันก็ยังไม่มีใครกล้าเลยด้วยซ้ำ
คนๆนี้ถ้าไม่มั่นใจในตัวเองมากก็คงจะบ้ามากเลยล่ะมั้ง
เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในตัวลูกทีมคนแรกที่ผ่านการทดสอบ ก่อนจะหันไปมองบรรดาเหยื่อที่เหลือซึ่งต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพอๆกัน
“ว่าไงล่ะ ไม่มีใครเลยเหรอ?”
“เอ่อ..ขอโทษครับ” คุโรโกะทักขึ้นจากด้านหลังทำเอาโค้ชสาวถึงกับสะดุ้ง ในมือถือโทรโข่งที่ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนภายในเวลาอันสั้น “ผมตะโกนเสียงดังไม่ค่อยเก่ง ขอใช้ไอ้นี่จะได้มั้ยครับ?”
เมื่อโค้ชพยักหน้าอนุญาต ร่างโปร่งจึงก้าวไปยืนตรงริมดาดฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะ..
“เฮ้ย!! พวกเธอชมรมบาส! ทำแบบนี้อีกแล้วนะ!!” ทว่าเสียงตะโกนอย่างดุร้ายของอาจารย์กลับดังขึ้นซะก่อน
ดูเหมือนว่ากิจกรรมการประกาศความตั้งใจที่จะเอาชนะระดับประเทศของพวกเขาคงจะไม่ได้อยู่ในข้ออนุมัติของทางโรงเรียนซักเท่าไหร่ ทำให้หลังจากนั้นพวกเขาอาจารย์บ่นเสียจนหูชาแถมยังต้องนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอีกเป็นชั่วโมงทำให้แทบลุกไม่ขึ้นอีกต่างหาก
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือถูกห้ามขึ้นไปตะโกนอะไรบนดาดฟ้าอีก...แบบนี้ก็แย่น่ะสิ
.
.
.
.
“ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆแต่ก็โดนดุไปด้วย” คุโรโกะพูดขึ้นหลังจากดูดวนิลลาเชคอึกใหญ่ โดยไม่สนท่าทางตกใจแทบสิ้นสติของอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
“คะ..แค่ก! แกอีกแล้วเรอะ!?” คางามิ ไทกะโวยวายหลังจากกลืนเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ที่เกือบจะฆาตกรรมเขาให้ขาดอากาศหายใจอย่างน่าอนาถลงคอไปได้ในที่สุด
“ตอนนี้ทางอาจารย์ก็เข้มงวดมากขึ้นอีก แบบนี้ผมก็มีหวังไม่ผ่านการทดสอบเข้าชมรมน่ะสิครับ” ร่างเล็กตีหน้าสลดซึ่งแลดูน่าหมั่นไส้มากกว่าในความคิดของอีกฝ่าย
แต่จะว่าไป พูดถึงเรื่องชมรมแล้วก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เคยสงสัย
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่ฉันอยากรู้มากกว่าก็คือนายต่างหาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายก็เป็นผู้เล่นที่มีฝีมือพอตัวอยู่แล้วถึงได้ถูกเรียกว่าผู้เล่นมายาคนที่หกไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชมรมบาสชื่อดังเหมือนกับพวกคนอื่นๆเค้าล่ะ?”
“เหตุผลในการเล่นบาสเก็ตบอลของนาย มันคืออะไรกันแน่..?”
นัยน์ตาสีแดงเข้มจับจ้องร่างบางตรงหน้า คู่สนทนาทำเพียงก้มลงจิบวนิลลาเชคอีกสองสามอึกโดยสีหน้าที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด ในขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ตอบคำถามตนแล้ว เสียงทุ้มหวานก็เอ่ยขึ้น
“ชมรมบาสสมัยม.ต้นของพวกผมน่ะ เป็นทีมที่แข็งแกร่งมากครับ”
“เรื่องนั้นน่ะ ฉันรู้อยู่แล้วเฟ้ย” คางามิขัด แต่คุโรโกะก็ยังพูดต่อไป
“แต่ว่าที่นั่นน่ะมีกฏอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น....นั่นคือชัยชนะคือทุกสิ่ง...” แววตาสีฟ้าไหวระริกเพียงเล็กน้อยโดยที่ร่างสูงกว่าไม่ทันสังเกต เมื่อนึกถึงความหลัง ประโยคที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่จนทุกวันนี้
‘ชัยชนะเท่านั้น..คือทุกสิ่ง’
“เพื่อสิ่งนั้น ความสามารถเฉพาะตัวอันโดดเด่นของเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์แต่ละคนต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ และนั่นทำให้เทย์โควในยุคของพวกเรานั้นแข็งแกร่งที่สุด...”
“แต่ว่า...นั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ทีม’ อยู่ดี..”
“ถึงผมจะเล่นบาสเก็ตบอลกับอีกห้าคนที่เหลือ.. แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่สำคัญมากที่ขาดหายไป..”
คุโรโกะครุ่นคิด..ความรู้สึกที่ว่า มันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ตั้งแต่ตอนที่อาโอมิเนะคุงเริ่มไม่มาซ้อม ตอนที่ความสามารถของทุกคนเริ่มตื่นขึ้น ตอนที่อาคาชิคุงเปลี่ยนไป
หรือว่า...มันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตถึงมันเอง จนกระทั่งสายเกินไป
“แล้วไง? อย่าบอกนะว่านายตั้งใจโค่นเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยความสามารถด้านบาสเก็ตบอลของนายน่ะ?” คางามิเห็นท่าที่จริงจังของอีกฝ่ายเลยตั้งใจลองถามไปเล่นๆ
“ก็เคยคิดแบบนั้นครับ..”
“หา จริงเรอะ?”
“แต่ว่า..หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของคุณกับพวกรุ่นพี่ก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจ”
ในตอนแรกสาเหตุที่เลือกโรงเรียนเซย์รินก็เพราะนับถือในมิตรภาพและการเล่นที่เคยเห็นในสนามแม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม เคยคิดว่าหากจะเอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยบาสเก็ตบอลของเขา ก็จะต้องเป็นทีมนี้แหละที่เหมาะสมที่สุด ทว่า พอได้เห็นความมุ่งมั่นของโค้ช และรุ่นพี่ทุกคนแล้ว ความตั้งใจก็เริ่มสั่นคลอน
บางสิ่งบางอย่างที่รู้สึกได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ บางสิ่งที่เซย์รินมี แต่เทย์โควกลับขาดหายไป
ไม่ใช่แค่อยากชนะ แต่อยากจะเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นร่วมกันกับคนเหล่านี้
“เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเล่นบาสในตอนนี้ ก็เพราะอยากทำให้ทีมนี้กับคุณเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นนั่นล่ะครับ..” พูดประโยคน่าอายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคนนั่งฝั่งตรงข้ามอดเขินแทนคนที่ดูท่าจะไร้อารมณ์ไม่ได้
“นายนี่ ยังพูดจาน่าอายพรรค์นั้นได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเคย เอายังไงก็เอา ขอให้ได้ถล่มเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ก็พอ” คางามิบ่นอุบแล้วลุกขึ้น เบอร์เกอร์กองพะเนินที่ยังเหลืออยู่ถูกยัดเยียดมาให้อย่างไม่ได้เต็มใจ แผ่นหลังแกร่งทำท่าจะหันหลังกลับไปแต่ยังไม่วายหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกับเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในแววตาสีแดงเข้มคู่นั้น
“แล้วก็ไม่ใช่ ‘อยากจะเป็น’ แต่ ‘จะต้องเป็น’ ที่หนึ่งในญี่ปุ่นให้ได้ต่างหาก!”
ใช่แล้ว ความมุ่งมั่นแบบนี้แหละที่เขาต้องการ เป้าหมายที่เห็นชัดเจนอยู่เบื้องหน้าทว่ากลับยากที่จะไขว่คว้ามาได้ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจเลือกเซย์ริน ทว่าการพบกับชายหนุ่มคนนี้จะถือว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญก็ไม่ผิดนัก แต่คุโรโกะเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีนักที่ได้พบกับคนคนนี้ ถ้าหากเป็นเซย์ริน ถ้าหากเป็นคางามิคุง อาจจะมีทางเป็นไปได้ก็ได้ เป็นที่หนึ่งของญี่ปุ่น.. และแน่นอน เอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ให้ได้
ตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้กลางสนามในวันรุ่งขึ้น ถ่ายทอดเจตนารมณ์และความปรารถนาของเขาไปแบบนั้น
โดยหารู้ไม่ว่า โอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์เพื่อจะพิสูจน์ความมุ่งมั่นอันนั้น จะมาถึงเร็วยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก
“ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆแต่ก็โดนดุไปด้วย” คุโรโกะพูดขึ้นหลังจากดูดวนิลลาเชคอึกใหญ่ โดยไม่สนท่าทางตกใจแทบสิ้นสติของอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
“คะ..แค่ก! แกอีกแล้วเรอะ!?” คางามิ ไทกะโวยวายหลังจากกลืนเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ที่เกือบจะฆาตกรรมเขาให้ขาดอากาศหายใจอย่างน่าอนาถลงคอไปได้ในที่สุด
“ตอนนี้ทางอาจารย์ก็เข้มงวดมากขึ้นอีก แบบนี้ผมก็มีหวังไม่ผ่านการทดสอบเข้าชมรมน่ะสิครับ” ร่างเล็กตีหน้าสลดซึ่งแลดูน่าหมั่นไส้มากกว่าในความคิดของอีกฝ่าย
แต่จะว่าไป พูดถึงเรื่องชมรมแล้วก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เคยสงสัย
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่ฉันอยากรู้มากกว่าก็คือนายต่างหาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายก็เป็นผู้เล่นที่มีฝีมือพอตัวอยู่แล้วถึงได้ถูกเรียกว่าผู้เล่นมายาคนที่หกไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชมรมบาสชื่อดังเหมือนกับพวกคนอื่นๆเค้าล่ะ?”
“เหตุผลในการเล่นบาสเก็ตบอลของนาย มันคืออะไรกันแน่..?”
นัยน์ตาสีแดงเข้มจับจ้องร่างบางตรงหน้า คู่สนทนาทำเพียงก้มลงจิบวนิลลาเชคอีกสองสามอึกโดยสีหน้าที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด ในขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ตอบคำถามตนแล้ว เสียงทุ้มหวานก็เอ่ยขึ้น
“ชมรมบาสสมัยม.ต้นของพวกผมน่ะ เป็นทีมที่แข็งแกร่งมากครับ”
“เรื่องนั้นน่ะ ฉันรู้อยู่แล้วเฟ้ย” คางามิขัด แต่คุโรโกะก็ยังพูดต่อไป
“แต่ว่าที่นั่นน่ะมีกฏอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น....นั่นคือชัยชนะคือทุกสิ่ง...” แววตาสีฟ้าไหวระริกเพียงเล็กน้อยโดยที่ร่างสูงกว่าไม่ทันสังเกต เมื่อนึกถึงความหลัง ประโยคที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่จนทุกวันนี้
‘ชัยชนะเท่านั้น..คือทุกสิ่ง’
“เพื่อสิ่งนั้น ความสามารถเฉพาะตัวอันโดดเด่นของเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์แต่ละคนต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ และนั่นทำให้เทย์โควในยุคของพวกเรานั้นแข็งแกร่งที่สุด...”
“แต่ว่า...นั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ทีม’ อยู่ดี..”
“ถึงผมจะเล่นบาสเก็ตบอลกับอีกห้าคนที่เหลือ.. แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่สำคัญมากที่ขาดหายไป..”
คุโรโกะครุ่นคิด..ความรู้สึกที่ว่า มันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ตั้งแต่ตอนที่อาโอมิเนะคุงเริ่มไม่มาซ้อม ตอนที่ความสามารถของทุกคนเริ่มตื่นขึ้น ตอนที่อาคาชิคุงเปลี่ยนไป
หรือว่า...มันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตถึงมันเอง จนกระทั่งสายเกินไป
“แล้วไง? อย่าบอกนะว่านายตั้งใจโค่นเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยความสามารถด้านบาสเก็ตบอลของนายน่ะ?” คางามิเห็นท่าที่จริงจังของอีกฝ่ายเลยตั้งใจลองถามไปเล่นๆ
“ก็เคยคิดแบบนั้นครับ..”
“หา จริงเรอะ?”
“แต่ว่า..หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของคุณกับพวกรุ่นพี่ก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจ”
ในตอนแรกสาเหตุที่เลือกโรงเรียนเซย์รินก็เพราะนับถือในมิตรภาพและการเล่นที่เคยเห็นในสนามแม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม เคยคิดว่าหากจะเอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยบาสเก็ตบอลของเขา ก็จะต้องเป็นทีมนี้แหละที่เหมาะสมที่สุด ทว่า พอได้เห็นความมุ่งมั่นของโค้ช และรุ่นพี่ทุกคนแล้ว ความตั้งใจก็เริ่มสั่นคลอน
บางสิ่งบางอย่างที่รู้สึกได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ บางสิ่งที่เซย์รินมี แต่เทย์โควกลับขาดหายไป
ไม่ใช่แค่อยากชนะ แต่อยากจะเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นร่วมกันกับคนเหล่านี้
“เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเล่นบาสในตอนนี้ ก็เพราะอยากทำให้ทีมนี้กับคุณเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นนั่นล่ะครับ..” พูดประโยคน่าอายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคนนั่งฝั่งตรงข้ามอดเขินแทนคนที่ดูท่าจะไร้อารมณ์ไม่ได้
“นายนี่ ยังพูดจาน่าอายพรรค์นั้นได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเคย เอายังไงก็เอา ขอให้ได้ถล่มเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ก็พอ” คางามิบ่นอุบแล้วลุกขึ้น เบอร์เกอร์กองพะเนินที่ยังเหลืออยู่ถูกยัดเยียดมาให้อย่างไม่ได้เต็มใจ แผ่นหลังแกร่งทำท่าจะหันหลังกลับไปแต่ยังไม่วายหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกับเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในแววตาสีแดงเข้มคู่นั้น
“แล้วก็ไม่ใช่ ‘อยากจะเป็น’ แต่ ‘จะต้องเป็น’ ที่หนึ่งในญี่ปุ่นให้ได้ต่างหาก!”
ใช่แล้ว ความมุ่งมั่นแบบนี้แหละที่เขาต้องการ เป้าหมายที่เห็นชัดเจนอยู่เบื้องหน้าทว่ากลับยากที่จะไขว่คว้ามาได้ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจเลือกเซย์ริน ทว่าการพบกับชายหนุ่มคนนี้จะถือว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญก็ไม่ผิดนัก แต่คุโรโกะเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีนักที่ได้พบกับคนคนนี้ ถ้าหากเป็นเซย์ริน ถ้าหากเป็นคางามิคุง อาจจะมีทางเป็นไปได้ก็ได้ เป็นที่หนึ่งของญี่ปุ่น.. และแน่นอน เอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ให้ได้
ตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้กลางสนามในวันรุ่งขึ้น ถ่ายทอดเจตนารมณ์และความปรารถนาของเขาไปแบบนั้น
โดยหารู้ไม่ว่า โอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์เพื่อจะพิสูจน์ความมุ่งมั่นอันนั้น จะมาถึงเร็วยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก
TBC
Talk :
ขอโทษที่มาช้าแล้วยังสั้นอีกนะคะ TT_TT ตัดสินใจตัดตอนตอนนี้ แล้วตอนหน้าจะได้พูดเรื่องคีจังเต็มๆไปเลยดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวหาที่ตัดตอนไม่ได้อี *พรากก*
สำหรับใครที่ไปอุดหนุนแอนโธฟ้าดำในงาน Sport Day ก็ขอขอบคุณมากนะคะ ถ้ามี feedback หรืออยากจะคอมเม้นท์อะไรยังไงก็สามารถคอมเม้นท์มาได้ทั้งในบลอกและในเฟสบุคนะคะ
ขอบคุณมากค่า ^^