Wednesday, February 26, 2014

[KnB Fic] Replay - Chapter 39 [Aomine*Kuroko]



Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring :  Aomine x Kuroko 
Rating : PG-13 



Link : 
 01 | 02 | 03 | 04 | 05 | 06 | 07 | 08 | 09 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |  19 | 
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 25.5 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38



39



“แปดโมงเช้าวันจันทร์ถึงค่อยเอามาส่งที่ดาดฟ้า เข้าใจมั้ย!” คำสั่งประกาศิตจากโค้ชที่บอกว่าจะยอมรับใบสมัครเข้าชมรมในวันที่และเวลาที่กำหนดเท่านั้น



ถึงจะได้ลองแข่งมินิเกมไปครั้งนึงแล้วร่วมซ้อมไปสองสามครั้งแต่ก็ยังไม่ถือเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์สินะ



คุโรโกะคิดพลางเดินไปห้องสมุดเพื่อหาที่อ่านหนังสือเงียบๆอย่างที่ชอบทำ แต่ก็สังเกตุเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนกำลังยืนอ่านป้ายโฆษณาที่อยู่หน้าห้องอย่างตั้งใจ



“หืมม ชมรมบาสที่นี่เองก็ท่าทางไม่เบาเหมือนกันแฮะ” คางามิพึมพัมกับตัวเอง



และแน่นอนว่าไม่สังเกตเห็นร่างเล็กกว่าที่มายืนอยู่ข้าง ๆจนกระทั่งเจ้าตัวทักขึ้น



“ถือว่าเก่งเลยล่ะครับ”



“!!!” ร่างสูงโปร่งสะดุ้งสุดตัวก่อนจะแหกปากร้องลั่น “แก๊!! โผล่มาดีๆเหมือนคนปกติไม่ได้เรอะ!!?”



คุโรโกะเอานิ้วจุ๊ปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบเนื่องจากพวกเขากำลังอยู่หน้าห้องสมุด และคุณบรรณารักษ์ก็กำลังมองตาเขียวแล้วด้วย อันที่จริงเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะยังไงคนก็ไม่ค่อยสังเกต แต่คนผมแดงนี่สิโคตรจะเป็นจุดเด่นเลย



มือใหญ่หิ้วศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาประหนึ่งเป็นลูกบาสเก็ตบอลอย่างคั่งแค้น นี่เขาเกือบจะหัวใจวายตายวันละหลายๆรอบแล้วตั้งแต่รู้จักกับหมอนี่



ทั้งที่ปกติก็แค่คนจืดจางธรรมดาแท้ๆ แต่พออยู่ในสนามกับมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อเลยว่าหมอนี่จะเป็นผู้เล่นคนที่หกแห่งเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ที่แสนโด่งดังนั่น



แต่จะว่าไป ทั้งที่เป็นอดีตผู้เล่นทีมชื่อดังขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อด้านบาสเก็ตบอลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?



ร่างสูงครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ แต่เมื่อตั้งใจจะหันไปถาม เจ้าตัวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้





.
.
.
.




ปรากฏว่าเวลา 8:40 เช้าวันจันทร์นั้นเป็นเวลาเข้าแถวของโรงเรียนพอดิบพอดี และเงื่อนไขในการรับเข้าชมรมอย่างเต็มตัวก็คือ การประกาศความตั้งใจของตนเองบนดาดฟ้าต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนที่ยนเข้าแถวอยู่เบื้องล่างนั่นเอง



“ฉันไม่อยากได้คนที่คิดว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ก็ดี’ หรือ ‘สักวันคงทำได้’ หรอกนะ เพื่อเป้าหมายที่จะมุ่งไปเอาชนะในระดับประเทศให้ได้ ฉันต้องการคนที่พร้อมและตั้งใจจริงเท่านั้น!!” คำอธิบายจากปากโค้ชสาวทำเอาเหล่าปีหนึ่งอึ้งไปตามๆกัน ถึงกระนั้นในกระแสน้ำเสียงและแววตาก็ไม่ได้สื่อถึงความล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย



“อ้อ แต่ถ้าใครพูดแล้วทำไม่ได้ ก็จะต้องแก้ผ้าสารภาพกับสาวที่ชอบนะจ๊ะ” ริโกะพูดพร้อมทั้งขยิบตาให้ เงื่อนไขในการเข้าชมรมที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครมิหนำซ้ำยังทำให้ถอนตัวก็ไม่ได้อีก



แต่ถึงกระนั้น ก็มีใครคนหนึ่งที่ปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียงอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย



“ปี 1-B คางามิ ไทกะ! จะโค่น ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ และขึ้นเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่น!!!” เสียงตะโกนก้องของเด็กหนุ่มผมแดงเรียกให้คนด้านล่างหันไปมองกันเกือบทั้งหมด ท่าทีทั้งประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ และขำขันไปพร้อมๆกันของนักเรียนในโรงเรียนเซย์ริน



นัยน์ตาสีฟ้ามองภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่บนราวระเบียงอย่างไม่กลัวตกพร้อมกับคำประกาศอย่างมั่นใจแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ตลอดช่วงม.ต้นที่ผ่านมาอย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องจะเอาชนะ ‘เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์’ ให้ได้เลย แค่จะต่อกรหรือสู้อยู่บนสนามเดียวกันก็ยังไม่มีใครกล้าเลยด้วยซ้ำ



คนๆนี้ถ้าไม่มั่นใจในตัวเองมากก็คงจะบ้ามากเลยล่ะมั้ง



เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในตัวลูกทีมคนแรกที่ผ่านการทดสอบ ก่อนจะหันไปมองบรรดาเหยื่อที่เหลือซึ่งต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพอๆกัน



“ว่าไงล่ะ ไม่มีใครเลยเหรอ?”



“เอ่อ..ขอโทษครับ” คุโรโกะทักขึ้นจากด้านหลังทำเอาโค้ชสาวถึงกับสะดุ้ง ในมือถือโทรโข่งที่ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนภายในเวลาอันสั้น “ผมตะโกนเสียงดังไม่ค่อยเก่ง ขอใช้ไอ้นี่จะได้มั้ยครับ?”



เมื่อโค้ชพยักหน้าอนุญาต ร่างโปร่งจึงก้าวไปยืนตรงริมดาดฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะ..



“เฮ้ย!! พวกเธอชมรมบาส! ทำแบบนี้อีกแล้วนะ!!” ทว่าเสียงตะโกนอย่างดุร้ายของอาจารย์กลับดังขึ้นซะก่อน



ดูเหมือนว่ากิจกรรมการประกาศความตั้งใจที่จะเอาชนะระดับประเทศของพวกเขาคงจะไม่ได้อยู่ในข้ออนุมัติของทางโรงเรียนซักเท่าไหร่ ทำให้หลังจากนั้นพวกเขาอาจารย์บ่นเสียจนหูชาแถมยังต้องนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอีกเป็นชั่วโมงทำให้แทบลุกไม่ขึ้นอีกต่างหาก



แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือถูกห้ามขึ้นไปตะโกนอะไรบนดาดฟ้าอีก...แบบนี้ก็แย่น่ะสิ




.
.
.
.




“ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆแต่ก็โดนดุไปด้วย” คุโรโกะพูดขึ้นหลังจากดูดวนิลลาเชคอึกใหญ่ โดยไม่สนท่าทางตกใจแทบสิ้นสติของอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย



“คะ..แค่ก! แกอีกแล้วเรอะ!?” คางามิ ไทกะโวยวายหลังจากกลืนเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ที่เกือบจะฆาตกรรมเขาให้ขาดอากาศหายใจอย่างน่าอนาถลงคอไปได้ในที่สุด



“ตอนนี้ทางอาจารย์ก็เข้มงวดมากขึ้นอีก แบบนี้ผมก็มีหวังไม่ผ่านการทดสอบเข้าชมรมน่ะสิครับ” ร่างเล็กตีหน้าสลดซึ่งแลดูน่าหมั่นไส้มากกว่าในความคิดของอีกฝ่าย



แต่จะว่าไป พูดถึงเรื่องชมรมแล้วก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เคยสงสัย



“เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่ฉันอยากรู้มากกว่าก็คือนายต่างหาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายก็เป็นผู้เล่นที่มีฝีมือพอตัวอยู่แล้วถึงได้ถูกเรียกว่าผู้เล่นมายาคนที่หกไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงไม่ไปเข้าโรงเรียนที่มีชมรมบาสชื่อดังเหมือนกับพวกคนอื่นๆเค้าล่ะ?”



“เหตุผลในการเล่นบาสเก็ตบอลของนาย มันคืออะไรกันแน่..?”



นัยน์ตาสีแดงเข้มจับจ้องร่างบางตรงหน้า คู่สนทนาทำเพียงก้มลงจิบวนิลลาเชคอีกสองสามอึกโดยสีหน้าที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด ในขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ตอบคำถามตนแล้ว เสียงทุ้มหวานก็เอ่ยขึ้น



“ชมรมบาสสมัยม.ต้นของพวกผมน่ะ เป็นทีมที่แข็งแกร่งมากครับ”



“เรื่องนั้นน่ะ ฉันรู้อยู่แล้วเฟ้ย” คางามิขัด แต่คุโรโกะก็ยังพูดต่อไป



“แต่ว่าที่นั่นน่ะมีกฏอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น....นั่นคือชัยชนะคือทุกสิ่ง...” แววตาสีฟ้าไหวระริกเพียงเล็กน้อยโดยที่ร่างสูงกว่าไม่ทันสังเกต เมื่อนึกถึงความหลัง ประโยคที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่จนทุกวันนี้



‘ชัยชนะเท่านั้น..คือทุกสิ่ง’



“เพื่อสิ่งนั้น ความสามารถเฉพาะตัวอันโดดเด่นของเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์แต่ละคนต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ และนั่นทำให้เทย์โควในยุคของพวกเรานั้นแข็งแกร่งที่สุด...”



“แต่ว่า...นั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ทีม’ อยู่ดี..”



“ถึงผมจะเล่นบาสเก็ตบอลกับอีกห้าคนที่เหลือ.. แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่สำคัญมากที่ขาดหายไป..”



คุโรโกะครุ่นคิด..ความรู้สึกที่ว่า มันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ตั้งแต่ตอนที่อาโอมิเนะคุงเริ่มไม่มาซ้อม ตอนที่ความสามารถของทุกคนเริ่มตื่นขึ้น ตอนที่อาคาชิคุงเปลี่ยนไป



หรือว่า...มันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตถึงมันเอง จนกระทั่งสายเกินไป



“แล้วไง? อย่าบอกนะว่านายตั้งใจโค่นเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยความสามารถด้านบาสเก็ตบอลของนายน่ะ?” คางามิเห็นท่าที่จริงจังของอีกฝ่ายเลยตั้งใจลองถามไปเล่นๆ



“ก็เคยคิดแบบนั้นครับ..”



“หา จริงเรอะ?”



“แต่ว่า..หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของคุณกับพวกรุ่นพี่ก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจ”



 ในตอนแรกสาเหตุที่เลือกโรงเรียนเซย์รินก็เพราะนับถือในมิตรภาพและการเล่นที่เคยเห็นในสนามแม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม เคยคิดว่าหากจะเอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ด้วยบาสเก็ตบอลของเขา ก็จะต้องเป็นทีมนี้แหละที่เหมาะสมที่สุด ทว่า พอได้เห็นความมุ่งมั่นของโค้ช และรุ่นพี่ทุกคนแล้ว ความตั้งใจก็เริ่มสั่นคลอน



บางสิ่งบางอย่างที่รู้สึกได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ บางสิ่งที่เซย์รินมี แต่เทย์โควกลับขาดหายไป



ไม่ใช่แค่อยากชนะ แต่อยากจะเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นร่วมกันกับคนเหล่านี้



“เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเล่นบาสในตอนนี้ ก็เพราะอยากทำให้ทีมนี้กับคุณเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นนั่นล่ะครับ..” พูดประโยคน่าอายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคนนั่งฝั่งตรงข้ามอดเขินแทนคนที่ดูท่าจะไร้อารมณ์ไม่ได้



“นายนี่ ยังพูดจาน่าอายพรรค์นั้นได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเคย เอายังไงก็เอา ขอให้ได้ถล่มเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ก็พอ” คางามิบ่นอุบแล้วลุกขึ้น เบอร์เกอร์กองพะเนินที่ยังเหลืออยู่ถูกยัดเยียดมาให้อย่างไม่ได้เต็มใจ แผ่นหลังแกร่งทำท่าจะหันหลังกลับไปแต่ยังไม่วายหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกับเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในแววตาสีแดงเข้มคู่นั้น



“แล้วก็ไม่ใช่ ‘อยากจะเป็น’ แต่ ‘จะต้องเป็น’ ที่หนึ่งในญี่ปุ่นให้ได้ต่างหาก!”



ใช่แล้ว ความมุ่งมั่นแบบนี้แหละที่เขาต้องการ เป้าหมายที่เห็นชัดเจนอยู่เบื้องหน้าทว่ากลับยากที่จะไขว่คว้ามาได้ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้



ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจเลือกเซย์ริน ทว่าการพบกับชายหนุ่มคนนี้จะถือว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญก็ไม่ผิดนัก แต่คุโรโกะเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีนักที่ได้พบกับคนคนนี้ ถ้าหากเป็นเซย์ริน ถ้าหากเป็นคางามิคุง อาจจะมีทางเป็นไปได้ก็ได้ เป็นที่หนึ่งของญี่ปุ่น.. และแน่นอน เอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ให้ได้



ตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้กลางสนามในวันรุ่งขึ้น ถ่ายทอดเจตนารมณ์และความปรารถนาของเขาไปแบบนั้น



โดยหารู้ไม่ว่า โอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์เพื่อจะพิสูจน์ความมุ่งมั่นอันนั้น จะมาถึงเร็วยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก




TBC





Talk :
ขอโทษที่มาช้าแล้วยังสั้นอีกนะคะ TT_TT ตัดสินใจตัดตอนตอนนี้ แล้วตอนหน้าจะได้พูดเรื่องคีจังเต็มๆไปเลยดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวหาที่ตัดตอนไม่ได้อี *พรากก* 
สำหรับใครที่ไปอุดหนุนแอนโธฟ้าดำในงาน Sport Day ก็ขอขอบคุณมากนะคะ ถ้ามี feedback หรืออยากจะคอมเม้นท์อะไรยังไงก็สามารถคอมเม้นท์มาได้ทั้งในบลอกและในเฟสบุคนะคะ
ขอบคุณมากค่า ^^

Friday, December 20, 2013

[KnB Fic] You're my best present [Akashi*Kuroko]



[Happy Birthday AKASHI-SAMA!!!]
 
 


Title : You are my best present
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Akashi x Kuroko
Rating : PG-13 
Author : freyaminnie & Puiimkk
Note : ดัดแปลงมาจากการโรลสดใน Skype ค่ะ ดังนั้นอย่าคาดหวังเนื้อหาสาระอะไรมาก 555



 



แสงแดดที่ส่องผ่านทะลุหน้าต่างเข้ามาโดนคนที่นอนบนเตียงราวกับจะปลุกเจ้าตัวให้ลุกจากที่นอน คุโรโกะพลิกตัวสองสามครั้งก่อนจะล้มตัวนอนลงที่เดิม ไม่ใช่ว่าไม่อยากลุก..แต่เขาลุกไม่ไหวต่างหาก ร่างกายหนักอึ้งแถมหัวก็ยังปวดตุบๆเหมือนโดนค้อนทุบเข้าใส่

 


อีกทั้งความทรงจำสุดท้ายเท่าที่จำได้..คุโรโกะจำได้ว่าเมื่อวานเขาอยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึกไปหน่อย พอกลับมาถึงก็ตรงดิ่งไปอาบน้ำทันที และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ แต่พอตื่นอีกทีกลับกลายเป็นว่าตัวเขานอนอยู่บนเตียงซะอย่างนั้น






หรือว่าจะเป็นอาคาชิคุง..?

 



"อะ..อืม.."  ตั้งใจจะเรียกใครอีกคนที่อยู่ด้วยกัน แต่เพียงแค่อ้าปากพูดก็รู้สึกได้ว่าแสบคอไปหมด ทำได้เพียงแค่ครางในลำคอแผ่วเบา    

 


“เท็ตสึยะ..ตื่นแล้วเหรอ”






ดูเหมือนคนที่นึกถึงอยู่จะเดินมาหาโดยไม่ต้องเรียก ที่นอนด้านข้างตัวยวบลงไปบ่งบอกให้รู้ว่ามีคนมานั่ง คุโรโกะพยายามฝืนลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำให้ตัวเองปวดหัวหนักกว่าเดิม

 


เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงทำท่าเหมือนจะยังไม่อยากตื่น นัยน์ตาสองสีเหลือบมองดูนาฬิกาเพื่อพบว่าเป็นเวลาสายมากแล้ว หากไม่รีบตื่นมาอาบน้ำทั้งเขาและคนข้างตัวอาจจะไปทำงานสายกันทั้งคู่ได้

 


"เท็ตสึยะ ได้ยินรึเปล่าหืม..ถ้าไม่รีบตื่นเดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ" เอ่ยย้ำอีกครั้ง ทว่านอกจากเสียงงึมงำในลำคอและอาการซุกตัวเข้าหาผ้าห่มแล้วก็ไม่มีสัญญาณว่าจะลุกแม้แต่น้อย

 


อาคาชิถอนหายใจ ก่อนจะเลิกผ้าห่มที่คลุมเรือนผมสีฟ้าอ่อนอยู่ขึ้นเล็กน้อยแล้วก้มลงไปกระซิบชิดริมหูบางด้วยความเอ็นดู

 


"เจ้าหญิงนิทราต้องการให้เจ้าชายจูบปลุกรึเปล่า?" แกล้งพูดพลางเอื้อมมือไปเกลี่ยใบหน้าเนียนเบาๆแล้วหัวเราะ คิดว่าคนหัวดื้อคงจะโต้กลับมาด้วยถ้อยคำตีฝีปากเหมือนกับทุกที   

 


แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิที่ไม่ปกติที่แผ่ออกมาจากร่างกาย

 


"อะ..อาคาชิคุง..?" ไร้คำโต้เถียงอย่างที่เคย มีเพียงเสียงสะลึมสะลือตอบกลับเบาๆจนแทบจะไม่ได้ยินเท่านั้น

 


มือเรียวยกขึ้นแตะที่หน้าผากขาว รู้สึกได้ถึงไอร้อนตรงจุดที่มือสัมผัสสูงจนน่าตกใจ

 


"เท็ตสึยะ.. นายเป็นไข้นี่ เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่" เสียงทุ้มเอ่ยดุ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความร้อนรน บนหน้าผากขาวเนียนเริ่มมีหยดเหงื่อผุดพรายให้เห็น ซ้ำเมื่อผ้าห่มถูกดึงเปิดออกก็ทำให้เห็นว่าร่างโปร่งบางเหงื่อออกจนชุ่มโชกชุดนอนไปหมด

 


"เท็ตสึยะ" เขาพยายามเรียกคนในอ้อมแขนแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองมากไปกว่าเสียงครางเครือในลำคออย่างอึดอัด นัยน์ตากลมโตหรี่ปรือเหมือนกับหลุดโฟกัสไม่ได้จ้องมองมาที่หน้าเขา  อาคาชิเอาผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างคนป่วยไว้เหมือนเดิมก่อนจะรีบลุกออกจากห้องไป




ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมอ่างที่ใส่น้ำจนเกือบเต็ม มืออีกข้างถือผ้าขนหนูผืนนุ่มที่ตั้งใจจะนำมาเช็ดตัวให้คนที่นอนตัวสั่นอยู่บนเตียง ชายหนุ่มประคองอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนช้าๆ ก่อนจะค่อยๆซับเหงื่อที่ชื้นตามใบหน้าให้อย่างแผ่วเบาแสดงออกถึงความเอาใจใส่ที่มีต่อคนในอ้อมกอด






คนสำคัญที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้..






นัยน์ตาสองสีมองอีกฝ่ายที่ดูจะสบายตัวขึ้นมานิดหน่อย นั่นก็เพราะคนที่นอนอึดอัดเมื่อครู่ดูจะมีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย คิดพลางไล้ผ้าขนหนูในมือเช็ดไปตามลำตัวคนป่วยอย่างแผ่วเบา






“เท็ตสึยะ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อให้ ลุกไหวมั้ย?”




"อาคาชิคุง.. คุณ..ไม่ไปทำงาน..เหรอครับ แค่กๆ" คุโรโกะลืมตาขึ้นมองคนที่นั่งข้างๆตัวด้วยความแปลกใจ เสียงที่ออกจากปากนั้นราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเขาเอง มันทั้งแหบพร่าและสั่นนิดๆเหมือนคนไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ    






"ชู่ววว อย่าเพิ่งพูดนะเดี๋ยวจะไอมากกว่าเดิม" พูดพร้อมค่อยๆปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะถอดออกไปกองไว้ที่ข้างๆเตียง เสียงครางในลำคอและเสียงไอที่ดังขึ้นข้างหูยิ่งทำให้อาคาชิเร่งมือมากขึ้น ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นไข้หนักกว่าเดิม  






"ผม..ป่วย..เหรอครับ..?" ถามกลับเบาๆด้วยความแปลกใจ เอนตัวลงพิงกับแผ่นอกอีกฝ่ายทันทีที่คนข้างตัวเปลี่ยนเสื้อให้เสร็จเรียบร้อย






"นายตัวร้อนขนาดนี้จะไม่ป่วยได้ยังไงล่ะ คงเป็นเพราะเมื่อวานเผลอหลับในห้องน้ำน่ะสิ"  






"....ขอโทษครับที่ทำให้คุณลำบาก" เค้นเสียงตอบกลับเบาๆ ก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นจากเตียง คุโรโกะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายมาลำบากกับตัวเองเลยแท้ๆ อีกอย่างทั้งที่วันนี้เป็นวันสำคัญที่เขามีนัดส่งมอบงานครั้งสุดท้ายกับลูกค้ารายหนึ่ง ถ้าหากอยู่ๆขอเลื่อนนัดเอาก็คงจะโดนตำหนิเอาได้





แถมนอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่อง….






"ไม่เป็นไร เรื่องของนายไม่เคยเป็นเรื่องลำบากสำหรับฉัน” มือเรียวแข็งแรงดันอีกฝ่ายให้นอนลงตามเดิมก่อนจะก้มตัวลงไปจูบหน้าผากแผ่วเบา






"ผม..มีนัดจะไปเอางานไปให้ลูกค้าเช้าวันนี้ แค่กๆ.. ลูกค้า..ต้องรออยู่แน่เลยครับ.."





"สภาพนายตอนนี้ออกไปหาใครไม่ได้หรอก ถ้าไม่นอนพักอาการจะยิ่งแย่กว่าเก่านะ เพราะงั้นนอนลงไปซะ" ชายหนุ่มเจ้าของฉายานัยน์ตาจักรพรรดิออกปากสั่งด้วยความเคยชิน






"...ตะ..แต่ว่า.."






ถึงแม้จะอยู่ในฐานะคนรัก ทว่าอาคาชิก็ยังคงชอบออกคำสั่งราวกับเป็นกัปตันกับลูกทีมอยู่เป็นบางครั้งโดยไม่รู้ตัว แต่ว่างานชิ้นนี้เป็นงานแรกที่คุโรโกะตั้งใจทำเต็มที่ เขาโหมงานหนักไม่ได้พักผ่อน ตั้งใจจะส่งมอบงานให้ได้ภายในเช้าวันนี้แท้ๆ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น แต่ดันกลับมาป่วยเอาซะได้..  





"ไม่มีแต่นะ เท็ตสึยะ" ขึ้นเสียงสั่งอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้จึงปรับเสียงตนเองให้อ่อนลง "อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงสิ ส่วนเรื่องงานนั้นน่ะ ฉันจะโทรไปเลื่อนนัดให้แทนก็แล้วกัน แบบนี้ก็ได้ใช่มั้ย"





“ก็ได้ครับ..” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเข้าโหมดกัปตันทีมคุโรโกะจึงรู้ตัวว่าเปล่าประโยชน์ที่จะเถียงต่อ อีกอย่างเขาก็เริ่มมึนหัวจากการลุกขึ้นนั่งนานๆซะแล้วด้วย จึงยอมแพ้แล้วเอนตัวลงนอนโดยดี





“ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้แล้วก็จริง แต่สภาพนายตอนนี้คงกินได้แต่ข้าวต้ม ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะฉันจะไปทำมาให้ใหม่” เห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กดียอมเชื่อฟังดังนั้นอาคาชิจึงเอ่ยสั่งต่อโดยไม่รอฟังคำค้าน ก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องอีกรอบ





เพราะว่าหายไปนานหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เมื่ออาคาชิยกข้าวต้มกลับขึ้นมาอีกที คนป่วยก็ชิงหลับไปเสียแล้ว และทั้งที่อยากจะปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนต่อไปแต่ว่าอาการไข้ที่ดูจะไม่ได้ลดลงเลยทำให้เขายิ่งเป็นห่วงว่าไข้อาจจะไม่ลดถ้ายังไม่ได้กินยา





“เท็ตสึยะ ลุกขึ้นมากินข้าวต้มก่อนสิ เดี๋ยวจะได้กินยา” มือเรียววางข้าวต้มไว้ข้างเตียงก่อนจะเขย่าตัวปลุกคนหลับเบาๆ





"อือ..ค..ครับ?.. อาคาชิคุง.. มีอะไร..เหรอครับ?" เสียงทุ้มหวานงัวเงียตอบ นัยน์ตากลมโตสีฟ้าปรือขึ้นเล็กน้อย





"ทานข้าวก่อนแล้วค่อยนอนต่อนะ" ร่างสูงกว่าค่อยๆประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ตักข้าวต้มมาแล้วเป่าให้หายร้อนเพื่อป้อน





ริมฝีปากบางอ้างับช้อนข้าวต้ม ก่อนจะค่อยๆเคี้ยวทีละนิดอย่างเชื่องช้า ทว่าเมื่อจะกลืนลงคอกลับรู้สึกว่าเจ็บฝืดคอมากจนแทบไม่อยากกินต่อ






"...ไม่เอาแล้ว..ครับ" มือบางยกขึ้นกันแขนที่จะป้อนเขาต่อให้ออกไปทันที





คิ้วเรียวสีแดงขมวดมุ่น ถึงปกติเท็ตสึยะจะกินน้อย แต่ทั้งที่เพิ่งจะกินไปช้อนเดียวแต่จะอิ่มแล้วก็คงไม่น่าใช่ จึงพยายามคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายกินต่อ





"กินอีกนิดเถอะ เดี๋ยวน้ำย่อยจะกัดกระเพาะหมด"





"ผมเจ็บ..คอ ไม่อยากกินแล้วครับ.." คนป่วยเริ่มจะงอแง สะบัดส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว ทำเอาคนดูแลต้องลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่





"เท็ตสึยะ.." นัยน์ตาสองสีจ้องเป็นเชิงดุ ยื่นช้อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากที่เม้มปิดแน่น "ถ้าไม่กินอะไรเลยก็กินยาไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่นายจะหายล่ะ"





"เมื่อกี้..ก็กินไปแล้วไงครับ.." พูดเสียงอ่อนเอาแต่ใจ คุโรโกะเองก็ไม่ได้อยากจะดื้อหรอก แต่ถ้าจะให้กินอะไรตอนนี้เขาก็กลืนไม่ลงจริงๆ





"หรือว่านายอยากกินอย่างอื่นรึเปล่า ฉันจะได้ไปทำให้" พูดพร้อมถอนหายใจแผ่วเบา ยอมแพ้ให้กับคนที่ป่วยนอนซมอย่างง่ายดาย ยอมให้อย่างที่ไม่เคยยอมกับใครมาก่อน





"..........วานิลลาเชคครับ"





คำตอบที่ได้รับดูไม่สมกับเป็นคนไม่สบายเลยสักนิด ถึงอาคาชิจะเป็นฝ่ายถามเองว่าอยากกินอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าของโปรดที่เป็นวานิลลาเชคแบบนั้นจะเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนป่วยหรอกนะ





"นายกำลังป่วยกินของเย็นแบบนั้นไม่ได้หรอก"





"....ไหนเมื่อกี้บอกจะกินอะไรก็ได้ไงครับ" พูดย้อนคำอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นัยน์ตาสองสีมองคนที่กล้าเถียงด้วยความแปลกใจ เขาว่ากันว่าคนที่ป่วยมักจะดื้อขึ้นเป็นสองเท่า สงสัยคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ





"งั้นถ้านายหายป่วยแล้วฉันจะให้กินวนิลลาเชคเท่าที่ต้องการ แต่ตอนนี้ต้องกินข้าวต้มแล้วกินยาก่อนนะ"





"ผมไม่อยากกินยา..." พูดเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนกลมโตที่เริ่มจะปรือหลับอีกรอบ ทำให้อาคาชิตั้งใจว่าจะรีบป้อนข้าวป้อนยาอีกฝ่ายเพื่อจะได้ปล่อยให้พักผ่อน และนั่นก็ทำให้ข้อต่อรองถูกงัดขึ้นมาใช้ทันที  





"ไม่กินยาก็ได้ แต่นายต้องกินข้าวต้มก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะซื้อวนิลาเชคให้เท่ากับจำนวนข้าวต้มที่นายกินหนึ่งช้อนต่อหนึ่งแก้ว ดีมั้ย?"





"เมื่อกี้ผมก็กินข้าวต้มไปแล้วนี่ครับ..." คุโรโกะหันไปมองคนที่ยื่นข้อเสนอด้วยความแปลกใจ กับข้อเสนอที่ดูจะล่อตาล่อใจอยู่พอสมควร แต่ถึงแม้เขาจะชอบวานิลลาเชคมากแค่ไหน แต่ถ้าแลกกับการต้องกลืนอะไรลงคอในตอนนี้ เขาก็ต้องขอยอมแพ้ก่อนแล้วกัน  





"เมื่อกี้ยังไม่ได้ตั้งเงื่อนไข ยังไม่นับนะ"





"ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ผมไม่อยากกินแล้วครับ.." คนบนเตียงเบ้หน้าหนี สายตามองสลับกับใบหน้าคนป้อนและข้าวต้มในมือ





ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหวังดีและเป็นห่วงของอีกฝ่าย แต่สมองที่ทำงานไม่ค่อยจะเต็มร้อยเพราะพิษไข้ทำให้ไม่อาจคิดถึงเหตุผลได้เหมือนปกติ อาการปวดหัวและสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้รู้สึกน้อยใจขึ้นมาเมื่อไม่โดนตามใจเหมือนที่เคย





ทั้งที่เขากำลังไม่สบายกลับเอาแต่บังคับกันไม่เลิกแบบนี้ เริ่มจะรู้สึกน้อยใจขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันนะ





"อีกสองคำพอ.. แล้วฉันจะปล่อยให้นายนอนต่อ ไม่คะยั้นคะยออีก"





"...ก็ได้ครับ" อ้าปากรับช้อนที่อีกฝ่ายยื่นป้อนแต่โดยดี พยายามฝืนกลืนลงคอถึงแม้ว่าจะเจ็บ ดังนั้นแค่สองช้อนก็ถือว่ามากสุดเท่าที่เขาจะฝืนกินได้แล้วจริงๆ





"ดีมาก เด็กดี.." เอ่ยชมพร้อมยิ้มมุมปากนิดๆด้วยความพึงใจ





"ครบแล้วสองคำ.. ไม่เอาแล้วครับ" พูดพร้อมเบือนหน้าหนีช้อนที่จ่ออยู่ตรงปาก เขาไม่อยากกินแล้ว คุโรโกะไม่คิดมาก่อนเลยว่าการกลืนอะไรลงคอในตอนป่วยจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดนี้ แม้แต่ข้าวต้มหรือน้ำเหลวๆยังรู้สึกราวกับทรายที่ไหลผ่านคอยังไงยังงั้น





นัยน์ตาสองสีมองท่าทีดื้อดึงแล้วก็ต้องถอนหายใจ





“ก็ได้” เขาวางชามข้าวต้มลงข้างเตียงก่อนจะหยิบแค็ปซูลสีสวยใสขึ้นมายื่นให้คนป่วย “งั้นกินยา..”





ยังไม่ทันพูดจบคนบนเตียงก็ส่ายหัวเป็นระวิง อาการมึนหัวเเริ่มกลับมาจนแทบจะเป็นลมไปอีกรอบหากไม่ได้อ้อมแขนอีกฝ่ายที่ประคองไว้เสียก่อน ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังปฏิเสธหัวชนฝาจะไม่ยอมทานยาท่าเดียว





อาคาชิมองยาในมือสลับกับคนหัวดื้อแล้วก็ต้องถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน ทั้งหว่านล้อมก็แล้ว ดุก็แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังงอแงไม่เลิก ทั้งที่เขาไม่ได้อยากจะบังคับเลยแท้ๆ





แต่ว่า….ถ้ามัวแต่ตามใจแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายกันล่ะ





เด็กหนุ่มผมแดงตัดสินใจหยิบยาในมือใส่ปากตัวเอง ก่อนจะจับปลายคางมนให้หันมาหาแล้วประกบจูบลงไปอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว





“อื้อๆๆ!” นัยน์ตากลมโตสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจกับการกระทำอันไม่คาดคิด ริมฝีปากบางเผลออ้าออกเพื่อจะประท้วงแต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย





รสจูบเร่าร้อนที่ทำให้มโนสติที่ไม่ค่อยจะเต็มร้อยอยู่แล้วเริ่มพร่าเบลอไปกันใหญ่ ร่างโปร่งบางเคลิบเคลิ้มเผลอหลับตาจูบตอบไปโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งรับรู้ถึงรสชาติขมฝาดของอะไรบางอย่างที่ผสมปนเปอยู่ในจูบนั่นแหละถึงไ้ด้รู้ว่าตนถูกบังคับให้กลืนยาลงไปเรียบร้อยแล้ว





ร่างสูงกว่าค่อยๆถอนจูบออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลืนเม็ดยาสีสวยไปจนหมดด้วยความพึงพอใจ





“แค่กๆ ทะ..ทำไมต้องบังคับกันด้วยครับ” คุโรโกะสำลักเล็กน้อย หันไปมองคนข้างตัวอย่างขุ่นเคือง





“ก็นายดื้อ” คนผมแดงตอบหน้าตาเฉย ใบหน้ายังคงประดับดวยรอยยิ้มแม้จะโดนค้อนใส่ไปวงใหญ่





ด้วยสภาพของร่างโปร่งที่เขาได้เห็นอยู่นั้น คนที่กำลังหอบหายใจเนื่องจากขาดอากาศ ใบหน้าที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้อยู่แล้วที่ยิ่งขึ้นสีมากขึ้นไปอีก ทำให้เขาอยากจะกดอีกฝ่ายลงบนเตียงแล้วจัดการทำตามใจปรารถนาซะเดี๋ยวนั้นเลย





แต่ว่า.. ตอนนี้เท็ตสึยะกำลังไม่สบาย ถ้าทำอะไรรุนแรงคงจะเป็นการรังแกคนป่วยจนเกินไป





“กินยาแล้วก็นอนเถอะ จะได้หายไวๆ” ปัดความคิดไม่ดีทิ้งอย่างรวดเร็วภายใต้หน้ากากยิ้มแย้ม ชายหนุ่มประคองกึ่งบังคับให้ร่างโปร่งนอนลง มือเรียวสัมผัสบริเวณหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิก่อนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อพบว่าค่อยลดลงบ้างแล้ว





"คุณไปหาอะไรทานเถอะครับ.. ผมจะนอน" คุโรโกะเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน นัยน์ตากลมโตปิดลง หลบหลีกจากนัยน์ตาสองสีคู่สวยคู่นั้นที่จ้องมองกัน





"ดีขึ้นบ้างนิดหน่อย ถ้างั้นนายนอนพักไปก่อน ฉันจะไม่รบกวนล่ะ" น้ำหนักบนเตียงที่หายไปบ่งบอกให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงลุกออกจากเตียงไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ทันจะได้คิดอะไร มือเรียวก็เอื้อมไปดึงชายเสื้ออีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ





คงเพราะเขาป่วย อาจจะเพราะเบลอเกินไป ร่างกายก็เลยทำไปก่อนที่สมองจะสั่ง คุโรโกะบอกกับตัวเองแบบนั้น แรงดึงจากชายเสื้อรั้งให้คนที่กำลังจะออกไปจากห้องหยุดชะงักก่อนจะหันมามองคนบนเตียง





"มีอะไรรึเปล่า เท็ตสึยะ" ถามด้วยความสงสัย สายตามองตามมือเรียวขาวที่ยังกุมเสื้อตนไว้ เผื่อว่าอาจจะอยากได้อะไรเพิ่มเติมอีก





คนบางคนนิสัยมักจะเปลี่ยนไปเวลาป่วย ได้ยินมาก็หลายครั้งแต่อาคาชิเพิ่งจะได้เจอกับตัวเองก็วันนี้นี่ล่ะ นัยน์ตาสองสีจ้องมองใบหน้าขาวนวลที่มีสีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด





"ไม่มีอะไรครับ.." มือที่กอบกุมชายเสื้อคนที่ยืนอยู่ถูกปล่อยออก คุโรโกะพลิกตัวหนีไปทางอีกด้านหนึ่ง





มีอะไรรึเปล่า..คำถามแบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้คำตอบเลยด้วยซ้ำ อยากให้ตามใจเขาหน่อย เอาใจมากกว่านี้ อยู่ด้วยกันหน่อยสิ จะให้พูดออกไปได้ยังไง คำพูดที่ดูเห็นแก่ตัวแบบนั้น คุโรโกะเพิ่งจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนป่วยที่นิสัยแย่ก็ในตอนนี้นี่เอง





คิดพลางหลับตาลงตั้งใจจะหลับสักพัก ได้แต่หวังว่าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขาเองจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ทั้งร่างกาย..และจิตใจ





“เท็ตสึยะ นายอยากให้ฉันอยู่ด้วยรึเปล่า หืม?" สัมผัสจากเตียงที่ยวบลงอีกครั้งทำให้เขารู้ว่าอาคาชินั่งอยู่ข้างๆกัน เขาไม่ควรจะรั้งอีกฝ่ายไว้มากกว่านี้





"ปล่าวครับ..." ตอบกลับเสียงแหบพร่าและนั่นก็เรียกเสียงถอนหายใจจากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา





"ถ้างั้นฉันจะออกไปแล้วนะ" คำพูดที่ตามมาพร้อมกับสัมผัสจากเตียงที่หายไปและเสียงประตูที่ปิดลง หัวใจแกว่งวูบโดยไม่รู้สาเหตุ





..ออกไปแล้วสินะ เบื่อที่จะดูแลคนป่วยกันแล้วอย่างนั้นเหรอ ถึงได้ถอนหายใจเหมือนเบื่อกันแล้วแบบนั้น ..เขานี่มันแย่..แย่จริงๆ





อา..





สัมผัสที่เปียกชื้นตรงแก้มนี่มาจากไหนกันนะ..น้ำตา?..ของเขาเองงั้นเหรอ..?





เพราะแบบนี้ไงล่ะ เพราะนายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ไงล่ะ เขาถึงได้เบื่อแล้วทิ้งกันไป บอกกับตัวเอง เลิกร้องไห้ได้แล้วคุโรโกะ เท็ตสึยะ! นายเคยเข้มแข็งมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ!





มือทั้งสองเอื้อมกอดตัวเองไว้หลวมๆ ไหล่เล็กสั่นน้อยๆด้วยแรงสะอื้นและอาการหนาวสั่นที่เกิดจากพิษไข้ ถึงแม้จะมีผ้าห่มปกปิดคลุมตัวไว้อยู่แต่การกระทำทั้งหมดของคุโรโกะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม..ก็ไม่เคยรอดพ้นจากนัยน์ตาสองสีคู่สวยคู่นั้นไปได้เลย





โดยที่เขาไม่รู้ตัว อาคาชิเพียงแค่แกล้งทำเป็นออกจากห้องไปแล้วเท่านั้น ชายหนุ่มยืนมองคนบนเตียงที่เบือนหน้าหนีกัน ก่อนจะกอดตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาน้อยๆ ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเอ่ยปาก เขาเองก็รับรู้ได้ในทันทีว่าคนผมสีฟ้าอ่อนที่แสนดื้อดึงคิดอะไรอยู่ ก็คงคิดเอาเองว่าเขาจะเบื่อแล้วทิ้งกันน่ะสิ..





ไม่มีทาง..เรื่องไร้สาระแบบนั้น  





คนคนนี้ในเวลาที่เข้มแข็ง ในตอนที่เอาแต่ใจ ดื้อ ไม่ฟังใครแม้แต่กับคนอย่างฉัน แถมยังคิดมาก แล้วก็ชอบคิดเองเออเองอีกต่างหาก ทั้งหมดนั่น เขาชอบทั้งหมด ความคิดเรื่องที่จะทิ้งกัน ไม่เคยมีอยู่ในหัวเลยสักนิด





เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะสอดตัวเข้าไปกอดคนที่นอนร้องไห้บนเตียงจากทางด้านหลัง รวบเอวเข้ามากอดแน่น ฝังใบหน้าซุกลงกับผมอีกฝ่าย คุโรโกะพลิกตัวหันกลับมามองด้วยความตกใจ คนที่เขานึกเอาเองว่าทิ้งกันไปแล้วกลับปรากฏตัวจากด้านหลัง





"อะ..อาคาชิคุง?" เอ่ยเสียงแผ่วเบา





"ฉันเปลี่ยนใจไม่อยากกินแล้ว ง่วงนอนมากกว่าน่ะ"





คำตอบที่ฟังปราดเดียวก็รู้ว่าปลอบใจกัน คุโรโกะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เลอะเต็มใบหน้า พยายามไม่ให้ใครอีกคน จะให้เห็นไม่ได้หรอก หลักฐานที่แสดงถึงความอ่อนแอของเขา  





"แล้วไม่หิวเหรอครับ.." ถามพลางซุกตัวเข้าหาแผ่นอกอีกฝ่าย





"ฉันอยากกินไข่ต้มฝีมือนาย.. เพราะงั้นรีบๆหายแล้วมาทำให้ฉันกินนะ" น่าเสียดายที่ความพยายามที่จะแอบซ่อนนั้นดูจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อสัมผัสจากริมฝีปากใครบางคนที่เอื้อมมาจูบซับตรงหางตาอย่างแผ่วเบาเป็นเชิงปลอบโยน





"อยากกินแค่ไข่ต้มเองเหรอครับ" คุโรโกะหัวเราะออกมานิดหน่อยกับคำขอนั่นโดยไม่สนใจริมฝีปากที่ทาบทับไล่กลืนกินหยาดน้ำตาเม็ดงาม





ทั้งๆที่มีอะไรให้เลือกกินได้ตั้งหลายอย่างแต่อาคาชิกลับเลือกที่จะกินแค่ไข่ต้มที่เป็นฝีมือของเขา และถึงแม้ลำคอจะเริ่มแสบและแห้งผากจากอาการป่วย แต่น่าแปลกที่เขากลับยังไม่อยากหยุดพูดเลยสักนิดเดียว





"อย่างอื่นด้วยก็ได้.. แต่ต้องให้ฉันช่วยนายทำนะ"





"ก็ได้ครับ..อยากกินอะไรล่ะครับ" ยิ้มออกมาน้อยๆกับคำพูดอีกฝ่าย จะช่วยทำงั้นเหรอ คุโรโกะนึกภาพอาคาชิที่สวมผ้ากันเปื้อนไม่ออกเลย ถ้ามีโอกาสได้เห็นสักครั้งก็คงจะดีไม่น้อย คิดพลางหัวเราะกับสภาพอีกฝ่ายในจินตนาการตัวเอง





หากแต่เสียงหัวเราะของคนป่วยกลับเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มผมสีแดงที่นอนข้างๆ ตั้งแต่ป่วยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คุโรโกะหัวเราะได้อย่างสบายใจ ถึงเขาเองจะเป็นสาเหตุให้อีกคนหัวเราะก็เถอะแต่นั่นก็ทำให้อาคาชิดีใจไม่น้อยเลยทีเดียว





"เรื่องนั้น เอาไว้หายดีแล้วค่อยคิดแล้วกัน ตอนนี้นอนพักเยอะๆไปก่อนนะ" พูดพร้อมโอบกอดรวบตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนตัวเองแน่น





"ผมนอนเยอะแล้ว..ยังไม่อยากนอนตอนนี้หรอกครับ"





ถึงแม้คุโรโกะจะพูดแบบนั้น แต่กับนัยน์ตาสีฟ้าที่ปรือปรอยเหมือนคนง่วงก็ทำให้อาคาชิรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพักผ่อนมากแค่ไหน ยาที่เขาบังคับให้ทานไปคงจะเริ่มออกฤทธิ์ในไม่ช้า ที่เห็นพูดอยู่นี่ก็คงจะฝืนตัวเองอีกแล้วสินะ





นายมักจะเป็นแบบนี้เสมอ.. ดื้อจริงๆ





"ถ้างั้นก็นอนเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน เพราะฉันไม่อยากลุกไปไหนแล้วล่ะ"





"ราตรีสวัสดิ์ เท็ตสึยะ" กระซิบแนบชิดริมหูคนป่วยแสนดื้อก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน นัยน์ตากลมโตปรือหลับลงช้าๆพร้อมรอยยิ้ม ภาพที่มองเมื่อไรก็ไม่เคยเบื่อและไม่มีวันจะเบื่อ





"อือ.. อาคาชิ..คุง ..สุขสันต์วันเกิดนะครับ"





สาเหตุที่ทำให้คุโรโกะโหมงานข้ามวันข้ามคืนจนถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อนั้นก็เพื่อจะทำให้เสร็จภายในเช้าวันนี้ เพื่อที่ตอนเย็นจะได้ไปฉลองกันสองคนในคืนวันสำคัญของอีกฝ่ายนั่นเอง





ทว่านอกจากจะไม่ได้ไปฉลองแล้วตัวเองยังต้องมาล้มป่วยให้เจ้าของวันเกิดดูแลเสียอีก เรียกได้ว่าแผนพังไม่เป็นท่าเลยทีเดียว





เสียงแผ่วเบาจากคนในอ้อมกอดที่หลับตาลงเมื่อครู่ดังขึ้นก่อนจะเงียบลง หลงเหลือเพียงแต่เสียงลมหายใจเข้าออก โดยไม่รู้เลยว่าทำให้ลมหายใจคนฟังหยุดชะงักไปชั่ววูบ   





อาคาชิเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือเพียงแค่ละเมอ แต่ทั้งๆที่เขาจำวันเกิดตัวเองไม่ได้ และทั้งๆที่คุโรโกะเองก็ป่วย แต่กลับเป็นฝ่ายที่จำได้เสียอย่างนั้น ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาพร้อมยกยิ้มนิดๆ แขนโอบกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม





แต่แม้ว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันในที่สวยๆ ไม่มีดินเนอร์มื้อหรู หรือของขวัญราคาแพงใดๆ วันเกิดวันนี้ก็ยังเป็นวันที่เจ้าของวันเกิดมีความสุขที่สุดอยู่ดี





เพราะเป็นวันที่เขาได้มีคนสำคัญอยู่เคียงข้าง ได้กอดร่างโปร่งบางที่แสนรักไว้ในอ้อมแขน แค่นั้น ก็เพียงพอแล้ว





“...ขอบคุณนะ เท็ตสึยะ”



END
 
 
 
 
 
Talk
 
 
 
จริงๆแล้วฟิคนี้เกิดมาจากบทสนทนาที่โรลกันเล่นๆในสไกป์ค่ะ แต่ประจวบเหมาะกับใกล้ถึงวันเกิดของท่านอาคาชิพอดี แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนฟิคอะไรให้ ก็เลยไปขุดเอาโรลอันนี้มาแก้ให้กลายเป็นฟิคค่ะ (ฮา)
 
 
อาจจะมีมึนเบลอไปบ้างเพราะตอนแรกไม่ได้มีพลอต เพิ่งมาแทรกเนื้อเรื่องตอนเขียนเพิ่ม > <
 
 
 
สุดท้ายนี้ก็ Happy Birthday อาคาชิซามะนะคะ ขอให้มีความสุข(กับเท็ตสึยะ)มากๆ อิอิ