Friday, December 6, 2013

[KnB Fic] Replay - Chapter 38 [Aomine*Kuroko]



Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring :  Aomine x Kuroko 
Rating : PG-13 



Link : 
 01 | 02 | 03 | 04 | 05 | 06 | 07 | 08 | 09 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |  19 | 
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 25.5 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37



38



วันเปิดการศึกษาของโรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินเต็มไปด้วยความคึกคัก บรรดาชมรมต่างๆมาออกบูทเชิญชวนเด็กปีหนึ่งเพื่อมาเป็นสมาชิกใหม่กันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่รุ่นพี่ของชมรมขนของดีและสรรพคุณต่างๆนานามาป่าวประกาศให้รุ่นน้องรับรู้กันไปทั่ว



เหล่านักเรียนในชุดสีขาวใหม่เอี่ยมล้วนเป็นที่เพ่งเล็งของผู้ที่อยู่รายล้อมเนื่องจากมีเปอร์เซนต์ที่จะเป็นเด็กปีหนึ่งค่อนข้างสูง ยิ่งใครที่ท่าทางหน่วยก้านดีหรือมีบุคลิกเหมาะสมยิ่งถูกรายล้อมเหมือนเป็นดาราชื่อดังสุดจะเนื้อหอม



ท่ามกลางความจอแจนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กที่มีตัวตนจืดจางสามารถเดินผ่านไปได้อย่างไม่มีใครสังเกต ภายในใจมีเป้าหมายชัดเจนเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงชี้ชวนรอบข้างแต่อย่างใด ขาทั้งสองเดินมาหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้าบอร์ดก่อนจะกวาดสายตามองหาตำแหน่งของสิ่งที่ต้องการ



‘ชมรมบาสเก็ตบอล’



จดจำตำแหน่งอย่างแม่นยำพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังโต๊ะรับสมัคร เมื่อมองเห็นเด็กหนุ่มใส่แว่นคุ้นตาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะยิ่งทำให้มั่นใจ คนคนเดียวกับที่เห็นในสนามแข่งอินเตอร์ไฮในวันนั้น กัปตันทีมบาสเก็ตบอลนั่งทำหน้าเคร่งเครียดเนื่องจากสมาชิกที่สมัครเข้าชมรมยังไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่



ร่างเล็กเดินเข้าไปและจากมาอย่างเงียบกริบ ตลอดเวลาจากที่เดินเข้าไปยังโต๊ะตัวนั้น กรอกเอกสารสมัครเข้าชมรม และเดินออกมานั้นไม่มีใครสังเกตเห็นตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งร่างสูงใหญ่ของใครบางคนชนเขาเข้าในระหว่างที่เดินสวนออกมา



นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนหันกลับไปมองใครคนนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ทันสังเกตเห็นเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีแดงเพลิงท่าทางเลือดร้อนไม่เบา ในมือนั้นหิ้วคอเสื้อของรุ่นพี่คนหนึ่งมาด้วยก่อนจะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อกี้รูปร่างและหน้าตาที่คุ้นเคยเหมือนว่าครั้งหนึ่งจะเคยสวนกันที่ไหนสักแห่งมาก่อน



ร่างสูงกว่านั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อครู่ แนะนำตัวเองด้วยชื่อและสำเนียงญี่ปุ่นแสนแปลกประหลาดจนทำให้ไม่อาจลืมได้



เด็กหนุ่มหันไปมองเหล่ารุ่นพี่และว่าที่เพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง แล้วแหงนใบหน้ามองท้องนภาสีฟ้าอันแสนสดใสเหมือนเช่นวันนั้นเมื่อสามปีก่อน วันที่เขาสมัครเข้าชมรมบาสเก็ตบอลของเทย์โคว ท้องฟ้าก็สวยงามไม่ต่างไปจากวันนี้เช่นกัน



ทว่าตอนนี้ เขาไม่ใช่ผู้เล่นของเทย์โควอีกต่อไปแล้ว เขาซึ่งละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลังได้ตัดสินใจแล้วที่จะเริ่มต้นใหม่กับที่แห่งนี้ กลับกลุ่มคนเหล่านี้



เพื่อเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่น



เพื่อจะเอาชนะอดีตผู้เล่นของเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ให้ได้



เพื่อที่จะนำรอยยิ้มของคนสำคัญที่สุดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง



กับชมรมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายเซย์รินแห่งนี้




.
.
.
.
.



ปรี๊ดดด!!



เสียงนกหวีดเรียกให้บรรดาเด็กปีหนึ่งที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่รอบๆโรงยิมเข้ามารวมตัวกัน พร้อมกับการแนะนำตัวของโค้ชที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่เด็กสาวปีสอง ทั้งยังให้ทุกคนถอดเสื้อออกเพื่อตรวจสภาพร่างกายอีกต่างหาก



ในตอนแรกทุกคนแทบจะมองข้ามคุโรโกะไปโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าโค้ชสาวไม่เรียกชื่อเขาเสียก่อน แต่นั่นยิ่งทำให้คนอื่นตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขามาจากเทย์โคว ที่ซึ่งชื่อของ เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์แสนโด่งดังจนแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก‘อดีต’เพื่อนร่วมทีมของเขา ชื่อที่แม้จะได้ยินเสียจนชินชา ทว่ากลับยังทำให้รู้สึกถึงความหลังอันแสนเจ็บปวดได้อย่างน่าประหลาด และคิดว่าคงไม่มีวัน ไม่สิ เขาไม่ตั้งใจจะลบเลือนมันไปด้วยซ้ำ



กระนั้นในบรรดาพวกเขา เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงที่สวนกับเขาในวันนั้น ที่มีชื่อว่า คางามิ ไทกะ ดูเหมือนจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งรุ่นพี่และโค้ชได้มากที่สุด



ทั้งรูปร่างและส่วนสูง รวมไปถึงความสามารถทางกายภาพที่แม้แต่โค้ชเองยังต้องทึ่งทำให้คุโรโกะรู้สึกสนใจในตัวคนๆนี้มากขึ้น



หลังเลิกชมรม เขาจึงตัดสินใจสะกดรอย(?)ตามอีกฝ่ายไป




.
.
.
.
.


คางามิมาที่สนามสตรีทบาสที่อยู่ไม่ไกลกันนั้น แล้วเริ่มชู้ตบาสราวกับทนไม่ไหวที่จะได้เริ่มฝึกซ้อมสักที



ภาพของร่างสูงที่วิ่งไปทั่วสนามพร้อมกับลูกบาสเก็ตบอลในมือทำให้หวนนึกไปถึงภาพซ้อนของใครบางคนอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้ เขาจะไม่มีวันได้เห็นคนคนนั้นเล่นนอกเหนือจากในสนามแข่งเหมือนก่อนแล้วก็เถอะ



ร่างเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว นี่ไม่ใช่เวลามาย้อนนึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ที่สำคัญคือเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จ และเมื่อนั้นก็จะสามารถนำเอาสิ่งสำคัญกลับมาได้เป็นแน่



ทว่า คุโรโกะเองก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้โดยลำพัง เขาต้องการใครสักคน ใครก็ได้ที่จะมาเป็นกำลังให้เขา เป็นคนคอยออกหน้าฉาก เป็นแสงให้กับเงาอย่างเขา



และคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ ก็ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติเพียงพอ เหลือแค่ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเอง



ลูกบาสที่ชู้ตพลาดเด้งบนห่วงแล้วมาเข้ามือพอดี



“นะ..นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?” ร่างสูงกว่าถามอย่างประหลาดใจ เพราะเมื่อครู่เขายังแทบไม่เห็นใครนอกจากตัวเองอยู่ในสนามบาสที่ว่างเปล่านี่ ราวกับอีกฝ่ายโผล่มาจากอากาศยังงั้นแหละ



“สวัสดีครับ” ทักทายกลับไปอย่างสุภาพ



“นายมาทำอะไรที่นี่กัน?”



“ผมต่างหากที่ต้องถาม คุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียวกันครับ?” นอกจากไม่ตอบคำถามแล้วยังถามกลับพร้อมกับโยนลูกบาสกลับไปให้อีกฝ่าย



คางามินิ่งไปชั่วอึดใจ แล้วมองร่างเล็กกว่าอย่างพิจารณา พลางนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมา



เรื่องของคนที่ได้ชื่อว่า เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์



“ตอนอยู่ม.ต้นฉันเคยกลับมาที่ญี่ปุ่นครั้งนึง แต่ว่านะ ระดับของบาสเก็ตบอลมัฐยมที่นี่น่ะ ต่ำเสียจนน่าตกใจเลยด้วยซ้ำ ฉันน่ะนะ ไม่คิดจะที่แข่งบาสแบบเล่นสนุกไปวันๆ แต่อยากจะลงเล่นในการแข่งขันที่ดุเดือดจนทำให้อะดรีนาลินเดือดพล่าน”



“เพราะงั้น พอฉันได้ยินเรื่องของเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ ก็อยากจะลองฝีมือดูชะมัด ว่าจะเจ๋งขนาดไหน นายเองก็เป็นหนึ่งในพวกนั้นด้วยใช่มั้ยล่ะ แต่ก็น่าแปลก เพราะปกติฉันจะได้กลิ่นพวกคนที่เก่งๆ หรือไม่ก็คนที่อ่อนแอ แต่ว่านายกลับไม่มีกลิ่นของอะไรเลย”



ร่างสูงกว่าปาลูกบาสกลับไปให้อีกฝ่าย แววตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยเจตนาท้าทายอย่างชัดเจน



“ความแข็งแกร่งของนายมันเป็นยังไงกันแน่ ไหนแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ!”



คุโรโกะรับลูกบาสเก็ตบอลนั้นไว้ในมือ ถึงแม้จะเร็วไปนิดแต่ก็ไม่เสียหาย



“บังเอิญจังนะครับ.. ผมก็อยากจะประมือกับคุณอยู่พอดี” นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่เงยขึ้นสบมองไม่มีแววสั่นไหวอย่างผู้ที่ด้อยกว่าแต่อย่างใด พร้อมกับรับคำท้า



“ถ้างั้นเรามาแข่งกันเถอะครับ วันออนวัน”




.
.
.
.
.

ถึงจะกำหนดเป้าหมายไว้แค่ห้าลูก ทว่าการแข่งขันกลับจบเร็วยิ่งกว่าที่คิด อันที่จริงมันไม่ควรจะเรียกได้ว่าการแข่งขันเลยด้วยซ้ำ เมื่อคางามิเป็นฝ่ายทำแต้มและแทบจะครองลูกอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่คุโรโกะไม่มีสิทธิ์จะแย่งลูกไปได้เลยด้วยซ้ำ



“นะ...นี่มันอะไรกันโว้ยยยย!?” เด็กหนุ่มร่างสูงโวยวายออกมาอย่างหงุดหงิดกับความห่วยแตกอย่างไม่น่าเชื่อของคนที่บังอาจกล้าท้าเขาดวลกันแบบวันออนวัน ทั้งทีตัวเองแทบจะไม่ต่างจากพวกมือสมัครเล่นแท้ๆ



“นายล้อเล่นใช่มั้ยฟะ แบบนี้คิดว่าจะเอาชนะฉันได้เรอะ!?”



“พูดอะไรแบบนั้นครับ คางามิคุงก็ต้องเก่งกว่าผมอยู่แล้วสิ ก็รู้ตั้งแต่ก่อนแข่งแล้วนี่นา” คุโรโกะตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ



ภายในหัวของคางามิที่เดือดปุดๆเริ่มปะทุขึ้นจนทะลุปรอท มือแกร่งกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นแล้วตะคอกใส่อย่างโมโห



“นี่นายกวนประสาทรึไงห๊ะ!? จะหาเรื่องกันรึไง?”



“เปล่านี่ครับ ผมแค่อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าคางามิคุงเก่งขนาดไหนก็เท่านั้น”



“หา...?”



อารมณ์เดือดๆเจอใบหน้าไร้อารมณ์ไม่ยี่หระเข้าไปทำให้ถึงกับรับมือไม่ถูก เขาจ้องมองนัยน์ตากลมโตสีฟ้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งจะพูดออกมา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอามือกุมขมับ



“เอ่อ..” คุโรโกะทักขึ้นเมื่อร่างสูงกว่าปล่อยตัวเองลง เขาหยิบลูกบาสขึ้นมาอีกครั้งเหมือนจะถามว่าจะแข่งต่อไหม



ทว่าคางามิกลับส่ายหน้าอย่างระอา



“พอแล้ว ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจพวกอ่อนแอ” โบกมือไล่แล้วเดินไปที่ม้านั่งเพื่อหยิบเสื้อที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี  ทว่าก่อนที่จะเดินจากไป ยังหันกลับมาหาคนที่ยืนนิ่งอยู่กลางสนามอีกครั้ง



นัยน์ตาสีแดงเข้มจับจ้องร่างกายที่ไม่ได้เหมาะแก่การเล่นกีฬาของอีกฝ่าย ทั้งกล้ามเนื้อ ความว่องไวในการเคลื่อนไหวและโดยเฉพาะส่วนสูงต่ำกว่ามาตรฐานสำหรับกีฬาประเภทนี้ รวมไปถึงความสามารถในการเล่นบาสที่เขาได้เห็นชัดกับตาเมื่อครู่



แม้จะไม่ควรพูด แต่ด้วยความที่เคยชินกับวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่นิยมพูดตรงๆมากเกินกว่าจะมาอ้อมค้อมหรือเกรงใจตามมารยาทแบบคนญี่ปุ่น ทำให้ร่างสูงตัดสินใจเอ่ยเตือนอีกฝ่าย



“ฉันขอบอกอะไรไว้อย่างนะ นายน่ะ เลิกเล่นบาสเก็ตบอลไปซะเถอะ เพราะต่อให้พยายามมากแค่ไหน หรือใช้คำสวยหรูยังไง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มันก็คือเป็นไปไม่ได้อยู่ดี” ถ้อยคำเย็นชา เหมือนที่ครั้งหนึ่งคุโรโกะเคยได้ยินโค้ชของทีมสามพูดกับตัวเอง ว่าความสามารถอย่างเขา ไม่มีวันจะเป็นตัวจริงได้



คำที่ออกจากปากคนที่เพิ่งจะเคยรู้จักกันราวกับเป็นการดูถูก ทำให้รู้สึกเจ็บปวดตรงแผลเก่าที่ยังรักษาไม่หายเล็กน้อย แต่ก็พอรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาอย่างที่ว่า



เพราะนอกจากอาโอมิเนะคุง ก็คงไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่บ้าพอที่จะคิดว่าคนอย่างเขาจะสามารถเล่นบาสเก็ตบอลกับทุกๆคนได้



เด็กหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเองอย่างขมขื่นแม้ว่าสีหน้าที่เห็นภายนอกจะแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิด



บางทีเขาอาจจะคิดผิดไปเอง ว่าคนคนนี้มีบางสิ่งที่เหมือนกับอาโอมิเนะคุง แต่ก็คงเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น



 “แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ”



“หา?”



“อย่างแรกก็คือ ผมชอบบาสเก็ตบอล และผมก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณนะครับ สำหรับผมมันไม่เกี่ยวหรอกว่าใครจะเก่งหรือจะอ่อนแอ เพราะผมน่ะ.. ไม่เหมือนกับคุณ...”



แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นทางที่เขาเลือกเอง และเขาก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริงด้วยตัวคนเดียวได้ มีแต่ต้องพึ่งคนอื่นเท่านั้น



“ผมน่ะ คือเงาครับ”



.
.
.
.
.



วันรุ่งขึ้นเนื่องจากฝนตกทำให้ไม่สามารถออกไปวิ่งรอบสนามกลางแจ้งได้ โค้ชไอดะจึงได้ปรับโปรแกรมการฝึกให้เข้ากับสถานการณ์ขึ้นมาใหม่



โดยการให้แบ่งทีมปีหนึ่งกับปีสองมาแข่งกันในมินิเกมนั่นเอง



ในช่วงเริ่มต้น ทีมปีหนึ่งสามารถทำแต้มนำไปได้ด้วยการฉายเดี่ยวของน้องใหม่ไฟแรงที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาสดๆร้อนๆ คางามิเพียงคนเดียวทำแต้มไปมากกว่าครึ่ง ทั้งความว่องไวและพลังในการกระโดดที่สูงกว่าใครๆทำให้ยากที่จะหยุดยั้งได้



ทว่าเมื่อเริ่มครึ่งหลัง ทีมรุ่นพี่ที่มีดีกรีสามารถผ่านเข้าลีกชิงชนะเลิศได้ด้วยทีมที่มีแต่ปีหนึ่งเท่านั้นก็แสดงฝีมือให้เห็น เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็รู้จุดอ่อนหมดว่ามีแต่เด็กหนุ่มผมแดงที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทำให้ส่งตัวประกบไปจนอีกฝ่ายกระดิกตัวแทบไม่ได้ สกัดความเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกับแย่งทำแต้มจนขึ้นนำไปเกินกว่าสองเท่าได้อย่างไม่ยากเย็น



บรรดาปีหนึ่งเมื่อเห็นความห่างชั้นต่างก็เริ่มถอดใจจนถึงกับออกปากจะถอนตัว



“สมกับที่เป็นรุ่นพี่ พวกเราไม่มีทางชนะได้เลย”



“นั่นสิ ไม่ไหวแล้วล่ะ ยอมแพ้เถอะ..”



“พูดบ้าอะไรของนาย!! แค่นี้จะยอมแพ้งั้นเรอะ!!?” ได้ยินคำถอดใจทำให้คางามิถึงกับโมโหแล้วกระชากคอเสื้อเพื่อนร่วมทีมขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง



ก่อนจะได้มีเรื่องวิวาทกันกลางโรงยิมนั้น ใครบางคนก็เข้ามาแทรกเสียก่อน



“ใจเย็นๆก่อนครับ”  คุโรโกะเอาเข่ากระทุ้งข้อพับของอีกฝ่ายเข้าให้ ทว่าแทนที่จะทำให้อารมณ์เย็นลงกลับยิ่งทำให้ทวีความร้อนแรงขึ้นเสียมากกว่า จนเพื่อนๆคนอื่นต้องรีบเข้ามาห้ามไว้ก่อนจะได้เปลี่ยนเป็นวางมวยกันแทนเล่นบาสเสียก่อนเสียงเอะอะมะเทิ่งมาจากฝั่งปีหนึ่งทำให้พวกรุ่นพี่เริ่มจะสงสัยแล้วว่าควรจะปล่อยไปอย่างนี้หรือเข้าไปห้ามดี แม้จะยังไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออกก็เถอะ แต่ถ้าเอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้คงจะเล่นเป็นทีมกันได้ลำบาก



กว่าทุกคนจะสงบลงพอจะเริ่มแข่งต่อได้อีกครั้งก็ใช้เวลาพอดู



คุโรโกะที่ใช้เวลาครึ่งแรกในการสังเกตพฤติกรรมและออมแรงไว้พอสมควรแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองสกอร์บอร์ดที่แต้มยังคงห่างกันแล้วบิดหมุนข้อมือไปมาเพื่อเป็นการวอร์มอัพ



ควรจะเริ่มเอาจริงได้แล้วสินะ



“ขอโทษนะครับ ต่อไปช่วยส่งลูกมาทางผมได้มั้ยครับ” หันไปบอกกับเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ยังคงมีท่าทีสงสัย กระนั้นเมื่อลงไปเล่นในสนามที่ไม่มีตัวเลือกให้มากนัก ก็เลยต้องยอมส่งลูกให้เพื่อนร่างเล็กอยู่ดี



และจากจุดนั้นเองที่ความสามารถในฐานะผู้เล่นมายาแห่งเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นต่อหน้า



การส่งลูกจากทิศทางที่ไม่น่าเป็นไปได้ การชู้ตลูกจากตำแหน่งของคนที่ไม่น่าจะครองบอล ทำให้ผู้เล่นปีสองถึงกับงงไปตามๆกันว่าเกิดอะไรขึ้น



มีเพียงโค้ชที่นั่งอยู่ข้างสนามซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น การใช้ความจืดจางอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในการพาสลูกให้กับเพื่อนร่วมทีมและเข้าตัดลูกได้โดยไม่มีใครเห็น



เทคนิคที่เรียกกันว่า มิสไดเรกชั่น มักจะใช้ในการแสดงมายากล เบี่ยงเบนสายตาผู้ชมให้ไปสนใจสิ่งอื่นแทนที่ นี่แหละคือความสามารถของเขา สิ่งที่ทำให้คุโรโกะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นมายาคนที่หกแห่งเทย์โคว



สิ่งนี้แหละเขาจะใช้ในการต่อสู้กับอดีตเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ทั้งหมด



ด้วยลูกพาสของเขาทำให้ทีมปีหนึ่งกลับมาสูสีกับรุ่นพี่อีกครั้ง เหลืออีกเพียงลูกเดียวก็จะเป็นฝ่ายขึ้นนำได้แล้ว



ด้วยเวลาที่เหลืออีกเพียงแค่ไม่กี่วินาที คุโรโกะตัดลูกที่ส่งระหว่างทีมปีสองได้และเลี้ยงหลุดเดี่ยวเข้าไปยังแดนฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าเพราะทุกคนล้วนขึ้นมาทำคะแนนกันหมด ถ้าหากเขาชู้ตเข้าก็จะทำให้ทีมปีหนึ่งเป็นฝ่ายพลิกกลับมาชนะได้



ทว่า สิ่งที่คุโรโกะทำได้แย่มากๆและไม่เคยต้องทำเมื่อตอนที่อยู่เทย์โคว ก็คือการชู้ตลูก แต่ในเมื่อไม่มีใครอื่นอยู่ให้ส่งต่อ จึงต้องเลย์อัพและชู้ตเอง



ซึ่งผลก็คือ....กระเด้งห่วงและหลุดออกมาอย่างสวยงาม



จนกระทั่งมือของใครบางคนยื่นมา และจับลูกบอลสีส้มยัดกลับลงไปในห่วงได้ในที่สุด



“เพราะยังงี้ไงล่ะฉันถึงได้เกลียดพวกอ่อนแอน่ะ อย่างน้อยก็ชู้ตให้มันลงหน่อยสิฟะ!” คางามิบ่นอุบพร้อมๆกันกับเสียงนกหวีดหมดเวลาที่ดังขึ้น ด้วยแต้มสุดท้ายนี้เองที่ทำให้ทีมปีหนึ่งสามารถเอาชนะไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย




.
.
.
.



หลังเลิกเรียนและการฝึกซ้อม คุโรโกะแวะร้านมาจิเบอร์เกอร์ที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนเพื่อแวะซื้อวนิลาเชคของโปรดเป็นรางวัลให้กับตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งวัน เขานั่งลงตรงโต๊ะข้างกระจกเพื่อสังเกตคนอื่นอย่างที่ชอบทำประจำ



แต่แล้วจู่ๆก็มีอีกคนมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คางามิคุงหอบเบอร์เกอร์กองใหญ่มาแล้วเริ่มนั่งกินโดยไม่สังเกตเห็นเขาที่นั่งอยู่ก่อนเลยซักนิด



“สวัสดีครับ” ทักทายอย่างสุภาพเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายมัวแต่ตกใจกับการปรากฏตัวจนสำลักเบอร์เกอร์ที่ติดคออยู่ไม่อาจตอบได้ในทันที



“อ๊อก! นะ.. นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย!?” คางามิพูดเมื่อกลืนขนมปังชิ้นใหญ่ลงคอไปได้ในที่สุด



“ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วนะครับ”



“งั้นก็ไปนั่งที่อื่นสิฟะ”



“ขอปฏิเสธครับ”



“แต่ถ้าใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าพวกเราสนิทกันนะเฟ้ย”



“ผมก็นั่งของผมอยู่แล้วนี่ครับ”



พูดอย่างไม่หวั่นเกรงแม้อีกฝ่ายจะทำหน้าเหมือนหาเรื่อง



ร่างสูงกว่าเป็นฝ่ายถอนใจยอมลงให้ มือใหญ่คว้าเบอร์เกอร์อันนึงขึ้นมาจากกองภูเขาเบื้องหน้าตนแล้วโยนส่งให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม



“เอ้า ฉันให้ชิ้นนึง” คุโรโกะรับมาแล้วมองมันอย่างงงๆ อีกฝ่ายจึงว่าต่อ “ฉันไม่ชอบคนที่เล่นบาสเก็ตบอลห่วยแตก แต่จะยอมรับฝีมือนายเท่ากับชิ้นนึงนั่นก็ได้”



สิ่งที่ฟังดูแล้วจะเป็นเหมือนคำชมแต่ก็เหมือนจะกึ่งๆด่ายังไงก็ไม่รู้ ทำให้พอคิดได้ว่าเจ้าตัวคงไม่ได้คิดร้าย แต่เป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกคนอื่นแบบลึกซึ้งซะมากกว่า




.
.
.
.



คางามิสวาปามเบอร์เกอร์กองใหญ่หมดในเวลาอันรวดเร็วพอๆกับที่คุโรโกะกินส่วนของตัวเองหมดพอดี ทั้งสองเดินออกมาจากร้านพร้อมกันราวกับมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก



ก่อนหน้านี้เขาก็เคยแวะกินวนิลลาเชคที่ร้านมาจิเบอร์เกอร์ในระหว่างทางกลับบ้านกับใครบางคนอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็คิเสะคุง หรือไม่ก็โมโมอิซัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นอาโอมิเนะคุง



นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเหลือบมองร่างสูงกว่าที่เดินอยู่เคียงข้าง ทุกครั้งที่เขามองคางามิคุงนั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตคู่หูของตนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ส่วนสูง หรือโดยเฉพาะตอนที่เล่นอยู่ในสนามบาส



แม้แต่เขาที่ทอดมาทาบทับยังใกล้เคียงกับเขาคนนั้นเสียจนน่าประหลาด



“ว่าแต่ว่า เจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์นั่นน่ะ เก่งขนาดไหนกันเรอะ” เสียงทุ้มจู่ๆก็ถามขึ้นเรียกให้คนที่จมอยู่ในความคิดตัวเองหันไปสนใจกับคำถาม “ถ้าฉันแข่งกับพวกนั้นจะเป็นยังไงนะ”



“ก็คงจะแพ้ราบคาบล่ะครับ” เขาตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด



จริงอยู่ที่ว่าคางามิมีความสามารถโดดเด่นเมื่อเทียบกับคนอื่นๆในเซย์ริน ทว่า ถ้าจะเทียบกับเทย์โควและเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ ก็นับว่ายังห่างชั้นมากนัก



และยิ่งเมื่อเทียบกับอาโอมิเนะ ก็ยิ่งไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ



“ผู้เล่นปาฏิหาริย์ทั้งห้าคนนั้นต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละโรงเรียน และในปีนี้หนึ่งในห้าโรงเรียนนั้นจะต้องขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดได้อย่างแน่นอนครับ”



ได้ยินดังนั้นแทนที่จะหมดกำลังใจแต่กลับยิ่งทำให้ไฟการต่อสู้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม



“หึหึ ฮ่ะๆๆ แบบนี้ก็แจ๋วไปเลยน่ะสิ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะโค่นพวกนั้นทุกคนแล้วขึ้นเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นให้ได้!”



ท่าทีมุ่งมั่นแบบนั้นทำให้คุโรโกะรู้สึกถึงประกายแสงบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในกายของอีกฝ่าย แม้จะยังไม่รู้ว่าจะไปได้ถึงแค่ไหน แต่มันก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ ในเมื่อเป้าหมายที่เขาต้องการนั้น ก็ไม่แตกต่างกันนัก



“แค่คุณคนเดียวคงไม่มีทางหรอกครับ”



เพื่อที่จะเอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ และพิสูจน์ว่าบาสเก็ตบอลของเขาไม่ใช่สิ่งที่ผิดและไม่ใช่ความอ่อนแอ เพื่อที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นถึงสิ่งนั้น เขาจะต้องเอาชนะให้ได้



แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถประสบผลด้วยตัวคนเดียวได้ จำเป็นต้องมีทีม และจำเป็นจะต้องมีอีกคนหนึ่ง



“ผมไม่รู้ว่าความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ของคุณมีมากขนาดไหน แต่คุณในตอนนี้ไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้หรอกครับ”



เขาต้องการอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายต้องการเขา



“ดังนั้น ผมเองก็ตัดสินใจแล้วเช่นกัน” แววตาสีฟ้าอ่อนมุ่งมั่น จับจ้องยังสายตาอีกคู่อย่างไม่หวั่นไหว “ผมน่ะเป็นเงา ยิ่งแสงสว่างมากแค่ไหนก็จะทำให้เงายิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย”



เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเงาให้กับคนสำคัญคนนั้น และตอนนี้ เขาจะเป็นเงาให้กับใครอีกคนหนึ่ง เขาจะร่วมมือกับคนคนนี้เพื่อนำแสงสว่างอันแสนสำคัญกลับมาอีกครั้ง



เพื่อเป้าหมายแสนสำคัญ เขาพร้อมจะเดิมพันทุกอย่าง แม้หนทางเบื้องหน้าจะเลือนลางแค่ไหน เมื่อไม่สามารถเอาชนะด้วยตัวคนเดียวได้ ก็ต้องพึ่งพาคนอื่น เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นแค่เงา



“เพื่อการนั้น ผมจะทำให้คุณเป็นที่หนึ่งของญี่ปุ่น ผมจะช่วยคุณเอาชนะเจเนอเรชั่นปาฏิหาริย์ ในฐานะเงาของแสงของคุณ”



คนที่ถูกยกให้เป็นแสงสว่างอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็หัวเราะออกมา



“เหอะ พูดได้สวยนี่ อยากทำอะไรก็ตามใจนายแล้วกัน”



“ผมจะพยายามครับ”
TBC





Talk :
กลับมาแล้วค่าาาาาา หลังจากที่ดองนานไปสามชาติเศษ *ก้มกราบรอบทิศ* รู้สึกเหมือนไม่ได้ Talk มานานมากจนไม่รู้จะเริ่มพูดว่าอะไรก่อนดีด้วยซ้ำ
นับจากตอนสุดท้ายที่ลงในบลอก แล้วเราก็มัวแต่วุ่นวายกับรวมเล่ม ทั้งรีไรท์และเขียนตอนพิเศษ กว่าจะปิดเล่มก็ประมาณเดือนตุลา แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้เขียน Replay เลยค่ะ (มัวแต่ไปเวิ่นคู่อื่น กร๊าก) พอได้มานั่งเขียนอีกครั้งแล้วรู้สึกคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ
กลับมาเขียนแล้วก็รู้สึกแปลกๆ คงเป็นเพราะเริ่มต้นภาคใหม่ด้วย ที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดคือภาคนี้ต้องอ้างอิงเนื้อเรื่องออฟฟิศเชียลมากขึ้น อิสระในการเวิ่น(?)ก็คงจะลดลง รู้สึกว่าเขียนยากกว่าเดิมแต่ก็จะพยายามค่ะ ถ้าติดขัดประการใดก็จะพยายามปรับแก้ไปเรื่อยๆ ขอให้อยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะจบนะคะ > <
ส่วนพี่ฟ้า... ดูจากเนื้อเรื่องแล้วคงจะยังไม่มีบทไปอีกซักพักใหญ่ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ยังเป็นฟ้าดำนะคะ ยังไม่เปลี่ยนแพริ่งแน่นอนค่ะ XD
ปล.คนที่ซื้อรวมเล่มคงพอจะรู้แล้วว่าเราได้มีการรีไรท์และลำดับตอนใหม่นิดหน่อยที่แตกต่างจากที่ลงในบลอก แต่เนื้อหายังเหมือนเดิมและต่อเนื่องกันค่ะ ขออภัยในความสับสนด้วยนะคะ > <

1 comment:

  1. กรี๊ดดดด กลับมาแล้ว ยังตามอ่านอยู่นะคะ สู้ๆ

    ReplyDelete