Title : A Birdcage Manor
Author : freyaminnie & PuiiMkk
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Akashi x Kuroko (Chihiro)
Note : ฟิคโคระหว่างสองบลอกอันเนื่องมาจากความพีคสปอยตอนที่ 231 ค่ะ จิฮิโระคุงคือผู้เล่นทีมราคุซันหมายเลขห้าที่ปรากฏตัวในสปอยตอน 231 หน้าตาแบบนี้ค่ะ >> Click <<
เขาเคยเก็บนกได้ตัวหนึ่ง ดูเหมือนว่านกตัวนั้นจะพลัดร่วงลงมาจากต้นไม้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเก็บมาเลี้ยง ดูแลเป็นอย่างดี ให้ทั้งอาหาร ทั้งน้ำ และเล่นเป็นเพื่อน แต่เมื่อมันโตขึ้น มันก็เริ่มเรียนรู้วิธีที่จะบิน แม้จะเป็นเพียงแค่การกระพือปีกเล็กๆ แต่เขาก็รู้ว่าอีกไม่นานมันจะต้องบินได้แน่
..เพื่อจะบินหนีไปจากเขา ..จากเขาคนนี้ ..คนที่เลี้ยงดูมันมาอย่างดี
แล้วในเมื่อเขาเป็นคนเลี้ยงดูมา เป็นคนมอบชีวิตให้ใหม่ ทั้งๆที่จะปล่อยให้ตายตรงนั้นก็ย่อมได้ แต่เขาก็เก็บกลับมา เจ้านกตัวงามยามกระพือปีกล้อลมนั้นช่างน่าหลงใหลนัก แล้วเหตุใดถึงคิดจะหนีจากเขาคนนี้ไป ในเมื่อกล้าคิดจะหักหลังกัน คิดจะทรยศเขาคนนี้ เขาก็จะ.. ทำให้บินหนีไปไหนไม่ได้อีกต่อไป..
แต่จะหักปีกที่สวยงามนั้นทิ้งก็น่าเสียดายจนเกินไป ปีกสีขาวบริสุทธิ์ราวกับปีกของนางฟ้าช่างเหมาะกับรูปร่างเล็กๆแต่งดงามตานั้นเหลือเกิน ต้องตาจนเกินไปไม่อาจทำใจเด็ดปีกนั้นลงได้
แต่ถ้าปล่อยให้บินอย่างอิสระได้เธอก็คงจะหนีไป จึงต้องจับขังกรงไว้ กรงที่สวยงามเฉกเช่นเดียวกับนกน้อยตัวนี้
กรงสีไหนที่เธอชอบกันล่ะ.. สีขาว.. สีดำ.. หรือสีแดง
แม้ว่าจะดูแลเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะขังกรง ถึงแม้จะจับล่ามแค่ไหน แต่เธอกลับอยากจะโบยบินออกไปสัมผัสแสงอาทิตย์ข้างนอกนั่น ช่างน่ารำคาญจริงๆ ทั้งเสียงกระพือปีกของเธอ ทั้งเสียงร้องของเธอ เธอที่อ้อนวอน ร้องขอ เธอที่พยายามดื้นรนให้หลุดพ้นจากกรงตัวสวยอยู่ทุกวัน
นึกย่ามใจแค่ชั่วพริบตา เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ใจ ประตูกรงกลับเปิดอ้าออก กรงตัวงามที่เคยกักขังกลับพลันร่วงหล่น
ปีกที่เคยทะนุถนอมดูแลไว้อย่างดี กลายเป็นเครื่องมือนำพาให้ไปสู่อิสรภาพอันแสนโหยหา นกน้อยพร้อมปีกสีขาวงามตาโผออกไปสู่ฟ้ากว้างอย่างไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้
เธอ ..ได้บินหนีฉันไปเสียแล้ว..
-------------------------------------------------------------------------------------
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่กำลังโลดแล่นอยู่ในสนาม ร่างเล็กๆที่แม้จะเผชิญหน้ากับคนที่ตัวใหญ่และเก่งกว่าตัวเองซักกี่เท่าก็ไม่มีท่าทีหวั่นไหว แม้โอกาสชนะจะแทบมองไม่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็ยังคงมุ่งมั่นแข่งต่อไปอย่างสุดความสามารถ
นัยน์ตาสองสีจ้องมองร่างนั้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ทั้งพอใจ ทั้งชื่นชม ทั้งตื่นเต้น และก็หลงใหล
แม้จะไม่ได้พูด แม้จะไม่ได้เอ่ย แต่รอยยิ้มหายากที่พาดผ่านริมฝีปากนั้นก็บ่งบอกความรู้สึกได้ชัดเจน ว่าคนที่จ้องมองอยู่นั้น ‘ต้องตา’ มากเพียงไหน
นัยน์ตาสีอ่อนอีกคู่ที่อยู่ไม่ไกลกันนักมองภาพที่เห็นอย่างเจ็บปวดใจ
ทำไม คุณถึงต้องมองเขาแบบนั้น เขาคนนั้นที่สำคัญกับคุณที่สุด คนที่คุณไม่เคยจะละสายตาไปไหนได้ คนที่หนีจากคุณไป
เกลียด เกลียดมาก กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมักคุ้น ไม่เคยแม้แต่จะสนทนาด้วยสักประโยค แค่ได้เห็น แค่ได้ยินชื่อ ก็รู้สึกเกลียดจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผมเกลียดคุณ คุโรโกะ เท็ตสึยะ
เพราะถ้าคุณไม่หนีเขาไป เขาก็คงไม่ต้องให้ผมมาเป็นตัวแทนของคุณ ผมก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ ถ้าเพียงแต่คุณยังอยู่กับเขา เป็นตุ๊กตาที่น่ารักของเขาอย่างที่เขาต้องการ
ถ้าเขามีคุณ เขาก็จะไม่ต้องการผม ผมจะได้เป็นอิสระจากความบ้าคลั่งนี้เสียที
-------------------------------------------------------------------------------------
ทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น เสียงไมค์เพื่อประกาศบอกทีมที่ชนะการแข่งขันดังก้องขึ้นให้ผู้คนทั่วทั้งแสตนด์เชียร์รับรู้ นักกีฬาทั้งสองทีมเดินมาประจันหน้ากันในสนามเป็นครั้งสุดท้าย การแข่งขันที่มีทั้งแพ้และชนะ ถึงแม้ว่าจะเสียน้ำตากันไปบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับถึงผลการแข่งขัน
เสียงพูดคุยเฮฮาเรื่องไร้สาระราวกับจะไม่กระทบเข้าโสตประสาทของใครบางคนยามนี้ ตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาที่ห้องพักนักกีฬา เจ้าของนัยน์ตาสองสีคู่สวยก็ราวกับจมอยู่กับห้วงความคิดของตนเองตลอดเวลา
"เกมเมื่อกี้น่าเบื่อเนอะ" มิบุจิเอ่ยยิ้มๆชวนคุยกับทุกคนราวกับว่าการแข่งขันเมื่อครู่ก็แค่การฝึกซ้อมร่างกายอย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกๆวัน
คำพูดของอาคาชิถูกต้องเสมอ นั่นคือเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหาญกล้าโต้แย้งแต่อย่างใด และคงเพราะการนำทีมอันแข็งแกร่งที่ทำให้ทุกคนเชื่อใจ ดังนั้นเพียงแค่ประโยคเดียวของอาคาชิที่บอกว่า 'พวกเราจะชนะ' ก็เป็นการยืนยันถึงความไร้พ่ายของโรงเรียนมัธยมปลายราคุซันได้เป็นอย่างดี
"เซย์จัง ไม่เปลี่ยนเสื้อเหรอ"
"งั้นพวกเราไปรอข้างนอกนะ"
มีเพียงแต่ความเงียบที่ราวกับจะตอบแทนทุกคำถาม ทุกคนจึงไม่คิดที่จะกล้าถามอะไรต่อ พากันทยอยออกจากห้องพักนักกีฬาไปอย่างเงียบๆ จิฮิโระเก็บเสื้อตัวเองยัดลงกระเป๋าลวกๆก่อนจะเตรียมก้าวเท้าตามทุกคนออกไป
"จิฮิโระ"
เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นเคย เสียงที่เคยดังแผ่วเบาแนบชิดติดริมหู เรียกให้ฝีเท้าหยุดชะงักงัน จิฮิโระหันไปมองตามเสียงเรียกเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังกลับ
เขาจะไม่สนใจ.. ไม่อีกต่อไปแล้ว
"จิฮิโระ" เน้นย้ำสำทับ คำพูดที่เอ่ยบังคับเอาแต่ใจ จิฮิโระหันไปมองอีกครั้ง และนั่นก็เป็นการหันไปมองที่ทำให้เขาจนมุมในพริบตา เผลอเพียงแค่ชั่ววูบกลับกลายเป็นทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ราวกับขาทั้งสองข้างทรยศต่อเจ้าของ แรงที่จะขยับเคลื่อนกายคล้ายกับจะหายไปชั่วขณะ
ทั้งแขนที่กักกัน แววตาที่แข็งกร้าวเหมือนกับจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นทะเลเพลิง
"กล้าดีนี่ เมินฉันอย่างนั้นเหรอ"
จิฮิโระเงียบ แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนเงียบ แต่ครั้งนี้การเงียบของเขานั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะไม่ตอบ เขาหันไปสบสายตาแวววาวคู่นั้นชั่วครู่ก่อนจะหลุบสายตาลงมองพื้นเบื้องล่าง
"ไม่ว่าใคร.. ก็ห้ามหันหลังให้ฉันถ้าไม่ได้รับอนุญาต!"
คำพูดที่บีบบังคับจนทำให้คนฟังแทบลืมหายใจ ข้อมือที่ถูกคว้าเต็มแรง รอยแดงที่ปรากฏชัดตามรอยบีบ การขัดขืนที่มีแต่รังจะทำให้เจ็บตัวมากขึ้น
เสียงเปิดประตูห้องพักที่ดังขึ้นขัดจังหวะ ราวกับเสียงสวรรค์ที่พระเจ้าเมตตาส่งคนให้มาช่วยเหลือเขาในยามคับขัน หากแต่ใบหน้าของผู้มาใหม่กลับทำให้จิฮิโระอดนึกเสียใจที่เมื่อกี้เผลอคิดไปว่าพระเจ้ายังคงเข้าข้างเขาอยู่บ้าง
"อาคาชิคุง ผม.."
"นายเองเหรอ.. เท็ตสึยะ"
นัยน์ตาสีแดงหันไปมองยังเด็กหนุ่มผมฟ้ายืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้ประสีประสาเผลอเข้ามา แต่เพียงแววตาต่างสีคู่นั้นจ้องมองก็ต้องรีบถอนตัวออกไปแทบจะไม่ทัน
น้อยคนนักที่จะกล้าขัดจังหวะอาคาชิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ แม้แต่โค้ชหรือบรรดาขุนพลไร้มงกุฏเองก็ตาม
แน่นอนว่ารวมไปถึงจิฮิโระเองก็เช่นกัน
ทว่า คุโรโกะ เท็ตสึยะกลับยังคงยืนจ้องตากับอดีตกัปตันทีมแห่งปาฏิหาริย์นิ่งโดยไม่หวั่นไหว
"มีธุระอะไรเหรอ เท็ตสึยะ" คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธาเมื่อครู่อ่อนลงโดยพลันเมื่อหันไปพูดกับใครอีกคนหนึ่ง ประโยคที่เป็นแค่คำถามธรรมดาใคร่รู้ธรรมดาไม่ได้แฝงเจตนาข่มขู่เลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มร่างเล็กเงียบไปชั่วครู่ราวกับจะพิจารณา ดวงตากลมโตสีฟ้ามองภาพอันแสนจะไม่ปกติในสายตาคนทั่วไปเบื้องหน้า
"คนคนนั้น...?" คำถามธรรมดาเช่นกัน ใบหน้าเอียงมองอย่างสงสัย
ทั้งสองยืนคุยกันราวกับว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่นั่งจิบน้ำชายามบ่ายอยู่ในสวนที่ไหนซักแห่งกันเพียงสองคน ไม่ใช่มีบุคคลที่สามที่แปลกแยกอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
"แค่เพื่อนร่วมทีมน่ะ"
อาคาชิตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งที่มืออีกข้างยังคงจับข้อมือบางไว้มั่น ขัดกับคำพูดที่เอ่ยมาโดยสิ้นเชิง
ทว่าคำตอบนั้นทำให้บุคคลที่สามพลันได้สติจากภวังค์ เขาพยายามออกแรงดึงมือของตนให้พ้นจากการเกาะกุมที่แน่นหนาราวกับคีมเหล็ก จู่ๆก็รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว
ทำไม แค่ได้ยินคำพูดของอาคาชิ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
ทำไม แค่เห็นหน้าของคุโรโกะ ความเกลียดชังก็เริ่มผุดขึ้นมาอีก
อยากจะไปให้พ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้
"อาคาชิคุง เราคุยกันตามลำพังได้มั้ยครับ" คุโรโกะพูดขึ้นในที่สุด ซึ่งคงจะเปรียบราวกับเสียงสวรรค์ ถ้าหากคนที่อีกฝ่ายกำลังพูดด้วยไม่ใช่อาคาชิ เซย์จูโร่ คนที่ไม่มีวันฟังคำสั่งใคร และทำตามแต่ใจตัวเองต้องการเพียงคนเดียว
จิฮิโระเคยเชื่อว่าแบบนั้น แต่ว่า
"ได้สิ" ข้อมือที่โดนกำไว้ถูกปล่อยออกอย่างง่ายดาย รอยสีแดงเข้มอันเกิดจากแรงบีบเค้นนั้นปรากฏชัดบนผิวสีขาว แต่ว่าคนกระทำกลับไม่แสดงท่าทีใส่ใจกับผลงานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
"จิฮิโระ กลับไปก่อนแล้วกัน" เอ่ยสั่งเพียงเท่านั้นก่อนร่างของเด็กหนุ่มผมแดงจะตามอดีตเพื่อนร่วมทีมไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองคนที่ถูกทิ้งไว้
-------------------------------------------------------------------------------------
อาคาชิหายไป.. หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีแม้แต่ข้อความไม่มีใครพบเห็นหน้า ทั้งที่โรงเรียนหรือที่ชมรม แม้กระทั่งตัวจิฮิโระเองก็ตาม เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ แต่จะให้คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากคืนดีกันแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาคาชิคงจะไม่หายตัวไปเฉยๆแบบนี้
ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้น.. แล้วตุ๊กตาชักใยตัวงามจะยังมีคุณค่าอะไรเหลืออีกงั้นหรือ..
ในเมื่อของจริงอยู่ตรงหน้า ..จะยังมีใครต้องการ ‘ของเล่น’ กันอีก
อิสระ..
ความคิดเพียงหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ ในเมื่อเขาคนนั้นไม่อยากได้ตุ๊กตาไว้เชยชมอีกต่อไปแล้ว ก็แปลว่าเขาจะได้เป็นอิสระจากความต้องการของอันแสนโหดร้ายอิสระที่เขาเคยนึกใฝ่หา จินตนาการถึง ต่อจากนี้จะไม่เป็นเพียงแค่จินตนาการหรือภาพมายาอีกต่อไป เพราะเพียงแค่เอื้อมมือ ..เขาเองก็จะหลุดพ้นจากวังวนแห่งหยาดน้ำตานี้เสียที
-------------------------------------------------------------------------------------
จิฮิโระเลิกไปชมรม ไม่แม้กระทั่งจะเดินผ่าน คงเป็นเพราะ เขาเองก็อยู่ปีสามแล้ว จึงหันมาทุ่มเวลาให้กับการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว อีกส่วนคงเป็นเพราะ.. เขายังไม่พร้อม ..ไม่พร้อมที่จะไปเจอหน้าคนๆนั้น และก็คงไม่พร้อมตลอดไป
ความเงียบคือสิ่งที่เขาชอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าเมื่อไรก็ชอบเสมอ คงเพราะมันทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลาคิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง และก็เพราะแบบนั้น เขาถึงมักจะถูกคนรอบข้างหาว่าเป็นพวกบุคลิกเย็นชาเกินไป
แสงอาทิตย์ทอแสงเป็นประกายล้อกับกระจกแวววาวให้คนที่นั่งในห้องได้แสบตา แสงยามเย็นจากพระอาทิตย์ไม่ว่าเมื่อไรก็ดูสวยงามเสมอ สายลมอ่อนๆพัดโชยเข้ามาจากทางหน้าต่าง ผ้าม่านสีครีมอ่อนที่ปลิวไสวตามแรงลม รวมถึงเสียงเฮฮาตะโกนร้องของเหล่าบรรดานักเรียนที่เล่นสนุกกับที่สนามกีฬากลางแจ้งดังขึ้นมาราวกับจะมอบความสนุกให้ผู้ที่เฝ้ามองอยู่
เมื่อก่อนจิฮิโระมักจะใช้เวลายามเย็นกับหนังสือคู่ใจสักเล่มในห้องสมุดเงียบๆ แต่หลังจากพบเจอกับอาคาชิ งานอดิเรกเขาจึงหายไป เขาทุ่มเวลาฝึกซ้อมให้กับทีม เพื่อที่จะได้แข็งแกร่ง เพื่อที่จะได้คู่ควร เพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างคนๆนั้น คนที่ยื่นมามาให้กับเขา เลือกเขาทั้งๆที่ไม่ได้มีความเก่งกาจอะไรเลย
‘ฉันจะสร้างมันขึ้นมาให้เอง บาสเก็ตบอลที่เป็นของนาย’
ราวกับภาพสะท้อนของผืนผิวน้ำ ไม่ว่ามองเมื่อไรก็ช่างงามตา แต่ก็คล้ายจะล่อลวงให้ผู้คนดำดิ่งลงไป เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โง่งมหลงเชื่อคำลวงปีศาจร้าย หวั่นไหวต่อคำพูดแสนหวาน จนมองไม่เห็นทางออก
เพียงแค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียวที่โยนลงไป พื้นผิวน้ำใสสะอาดที่สะท้อนภาพมายาก็ราวกับจะแตกออกจางหายไป
-------------------------------------------------------------------------------------
'Independence'
เรื่องของสงครามและกลุ่มบุคคลที่ต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากผู้นำเผด็จการอันแสนโหดร้าย หลายร้อยชีวิตที่ต้องสังเวยไปในระหว่างทาง ไปสู่ตอนจบของเรื่องราวที่พระนางต่างได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะในประวัติศาสตร์หรือนิยายเรื่องไหน การจะได้มาซึ่งอิสรภาพนั้นย่อมต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ หรือแม้แต่ชีวิตของผู้ที่เสียสละ
หรือบางที ก็อาจจะต้องช่วงชิงอิสรภาพนั้นมาจากบุคคลอื่น
มือเรียวปิดหนังสือที่เพิ่งอ่านจบแล้ววางลงอย่างเบามือ หนังสือนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่าประทับใจ สำนวนการเขียนที่อ่านง่ายและลื่นไหล ทำให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับหนังสือได้อย่างไม่ยากเย็น
จิฮิโระเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนัง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่เขานั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆแบบนี้ เพราะไร้คนรบกวน หรือเพราะเนื้อหาของหนังสือที่ชวนให้ติดตามจนอ่านเพลินลืมเวลากันแน่
เข็มสั้นและเข็มยาวบอกเวลาเกือบสามทุ่ม ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคงใกล้ได้เวลาที่เขาซ้อมเสร็จและภารโรงมาปิดโรงยิมไล่พอดี แต่หลังจากที่ไม่ได้ไปชมรมแล้วก็ทำให้ไม่ได้อยู่ดึกเช่นนี้อีก
เด็กหนุ่มรีบเก็บข้าวของออกมาจากห้องสมุดเพื่อเตรียมกลับบ้าน ทว่าระหว่างทางที่เดินจากอาคารเรียนกับประตูรั้วโรงเรียนนั้น นัยน์ตากลับเหลือบไปเห็นแสงไฟจากโรงยิมที่อยู่ไม่ไกลกันยังคงสว่างจ้า
ใครบางคนคงจะอยู่ซ้อมจนดึกล่ะมั้ง
ทั้งที่คิดว่าไม่อยากจะข้องเกี่ยวแล้วแต่ความสงสัยที่เกิดขึ้นทำให้ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก แม้จะอยากรู้แต่ก็ไม่อยากไปเจอใครคนนั้นทำให้ตัดสินใจไม่ได้
แค่แอบดูนิดเดียวคงไม่เป็นไร
คิดกับตัวเองเช่นนั้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากประตูรั้วโรงเรียนเป็นโรงยิมที่อยู่ข้างๆ อาศัยความมืดอำพรางร่างกายที่เหมือนกับเงาไว้ไม่ให้ใครเห็น
ภายในโรงยิมนั้นไม่ใช่คนที่ยังซ้อมอยู่ แต่เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงคร่ำเคร่งกับการวางแผนฝึกซ้อมและแผนการเล่นให้กับสมาชิกชมรม ยิ่งช่วงเวลาใกล้แข่งยิ่งต้องรวบรวมข้อมูลของคู่ต่อสู้เพื่อวิเคราะห์ไปด้วย
นัยน์ตาสีอ่อนลอบมองไปยังเจ้าของตำแหน่งกัปตันทีมราคุซันที่นั่งก้มหน้าอยู่กับเอกสารโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่คิดพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอ ทั้งที่พยายามหนีมาตลอด แต่ราวกับอะไรบางอย่างในตัวอาคาชิที่ดึงดูดสายตาเขาไว้ได้เสมอ
ชั่ววูบหนึ่งที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ราวกับจะเห็น ประกายที่อยู่ในดวงตาสองสีที่คุ้นเคยคู่นั้น จ้องมองมาที่เขา
จิฮิโระรีบหลบวูบด้วยความกลัวว่าจะถูกเห็น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับก้มลงไปให้ความสนใจเอกสารในมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อกี้.. อาจจะคิดไปเองล่ะมั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งๆที่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะตัดใจ หลีกหนีไม่พบหน้า แต่กับแค่การสบสายตาเพียงแค่ชั่วครู่ก็ราวกับมีแรงดึงดูดให้ลุ่มหลงลงไปในนัยน์ตาสีแดงและเหลืองคู่นั้น
การสบประสานสายตานั้นก็เพียงแค่ชั่วครู่ อาจจะเป็นเพราะบังเอิญ ..หรือเขาตาฝาดไปเองก็เป็นไปได้
จิฮิโระรู้และเข้าใจมาตลอดว่าตัวเขาเองต้องการเป็นอิสระ และหลุดพ้นจากภายใต้เงาคู่นั้นมากแค่ไหน หากแต่ความรู้สึกอ้างว้างที่กำลังกัดกินหัวใจเขาอยู่ในตอนนี้ต่างหาก ที่เขาไม่เข้าใจ
อิสระที่เคยนึกเฝ้าใฝ่หา ..ทำไมถึงช่างอ้างว้างขนาดนี้
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นจิฮิโระก็ไม่เคยพบหน้าอาคาชิอีกเลย ไม่ว่าจะตามสถานที่ต่างๆ ทั้งระเบียงทางเดิน ทั้งห้องพักอาจารย์ หรือแม้แต่กระทั่งในโรงอาหาร ราวกับอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างแนบเนียน
เสียงเรียกชื่อตนเองดังลั่นออกจากปากเพื่อนร่วมห้อง คำขอร้อง ไหว้วานเรื่องเดิมๆที่เขานึกชินชาอยู่เสมอ
'ช่วยทำเวรให้หน่อยสิ'
'ช่วยเอากองหนังสือนี้ไปให้อาจารย์ด้วยนะ'
'ขอยืมสมุดจดหน่อยสิ'
เขาถอนหายใจอย่างอดนึกเบื่อหน่ายเสียไม่ได้ คนพวกนี้ก็เหมือนกับคนๆนั้น ทั้งๆที่เกลียดเขา แต่ก็ตักตวงเอาผลประโยชน์จากเขาอยู่เสมอ จิฮิโระเก็บของอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปหยิบกองสมุดการบ้านที่เพื่อนในห้องทิ้งไว้ให้เขาเป็นคนเอาไปให้อาจารย์
ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างที่เริ่มมืดลง หวนให้นึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น ความสัมพันธ์ที่เขาเคยหาคำตอบไม่ได้ นึกลุ่มหลง เฝ้าวาดฝัน จินตนาการสวยหรู แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นภาพลวงแห่งมายาอันจอมปลอม
‘มายุซึมิ ..สีน้ำเงินเข้มเฉดดำ’ สีที่ผู้คนมักนำมาใช้แทนสีดำอยู่เสมอ หากแต่ยังไงก็ไม่ใช่สีดำ
เขาไม่ใช่สีดำ ยังไงก็ไม่ใช่ ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ก็เป็นได้แค่.. ตัวแทนเพียงเท่านั้น..
“อ๊ะ มายุซึมิคุง รบกวนช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้ประธานนักเรียนทีสิ”
คำไหว้วานจากอาจารย์ที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ลมหายใจติดขัด เพียงแค่คิดว่าจะเจอหน้าอาคาชิอีกครั้ง ก็ราวกับกำแพงที่เขาเพียรพยายามสร้างขึ้นมาตลอดเวลาที่ไม่เจอหน้ากัน ..กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยแตกเล็กๆ
แต่ว่าได้โปรด.. กำแพงหัวใจ ขออย่าได้พังทลายลงโดยง่ายเลย..
จิฮิโระก้าวไปตามทางเดินช้าๆ ทางที่คุ้นเคย ภาพที่คุ้นตา สถานที่ที่เมื่อก่อนเขามักจะใช้เวลาอยู่กับอาคาชิเป็นประจำ เสียงรองเท้าที่ดังเป็นจังหวะดังขึ้นเงียบๆ ไม่นานนักเท้าทั้งสองข้างก็หยุดลงหน้าประตูไม้บานใหญ่บานหนึ่ง
..ก๊อกก๊อก
“..เข้ามา”
สองขาย่างก้าวเข้ามาในห้องที่แฝงไปด้วยบรรยากาศน่าเกรงขามไม่ต่างไปจากแทบทุกที่ที่อาคาชิ เซย์จูโร่เป็นเจ้าของ ความกดดันที่ไม่ต่างกันทำให้รู้สึกราวกับร่างกายหนักอึ้งขึ้นหลายเท่า
ภายในห้องนั้นมีเพียงร่างโปร่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานเพียงลำพัง
“อาจารย์ ฝากให้เอาเอกสารมาให้ครับ” พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ราวกับว่าตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกประหม่าเหมือนที่เป็นอยู่
“เอาวางไว้ที่โต๊ะนั่นแหละ” เด็กหนุ่มผมแดงยังคงขะมักเขม้นกับเอกสารบนโต๊ะจนไม่แม้แต่จะเหลียวตาขึ้นมามองผู้ที่เข้ามาเลยด้วยซ้ำ
จิฮิโระรู้ดีว่าอาคาชิรู้ว่าเป็นเขาที่เข้ามา รู้โดยไม่ต้องเงยหน้ามอง รู้แม้แต่ตอนที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดด้วยซ้ำ ถึงตัวตนของเขาจะจืดจางสักเท่าไหร่ก็ไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของอาคาชิไปได้
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูเย็นชาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่สิ จะเรียกว่าเย็นชาก็คงไม่ถูก แต่เป็นอาคาชิ เซย์จูโร่ที่เหมือนกับที่คนอื่นมองเห็นมาตลอด สุขุม นิ่งเงียบ และสมบูรณ์แบบไปทุกระเบียดนิ้ว
ไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับแค่คนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาและจากไป
เจ็บ.. จู่ๆก้อนเนื้อในอกก็เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
มือสั่นเทากำลูกบิดประตูไว้แน่นก่อนจะปล่อยออก แล้วบอกตัวเองให้รีบไปให้ไกลจากสถานที่นั้นให้มากที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------------
เขามาทำอะไรที่นี่
ในความเป็นจริง เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องมาเข้าชมรมแล้วด้วยซ้ำ เขาอยู่ปีสาม การแข่งระดับประเทศก็จบลงไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาซ้อมสำหรับแข่งอีกต่อไป
หยุดอ่านหนังสือไปนาน ก็แค่ไม่อยากให้ฝีมือขึ้นสนิม
บอกตัวเองเช่นนั้นก่อนจะเริ่มซ้อมไปตามปกติ แม้ว่าจะเผลอเหลือบมองร่างของกัปตันชมรมที่ซ้อมอยู่อีกฝั่งของสนามโดยไม่รู้ตัวก็ตามที
-------------------------------------------------------------------------------------
“จิฮิโระ วันนี้จะอยู่ซ้อมดึกอีกเหรอ”
เสียงจากเพื่อนร่วมทีมดังขึ้นทันทีที่เดินออกมาจากห้องล็อกเกอร์แล้วยังพบว่ายังคงเหลือใครคนหนึ่งซ้อมอยู่ที่สนามตามเดิม จิฮิโระหันไปพยักหน้าให้เงียบๆเป็นเชิงตอบ ก่อนจะเดินไปหยิบลูกบาสที่กลิ้งอยู่ที่พื้นมาซ้อมต่อ
“เหรอ.. งั้นก็อย่าอยู่ดึกมากนักล่ะ อย่าลืมปิดไฟอะไรให้เรียบร้อยด้วยนะ”
กำชับอีกสองสามคำก่อนจะพากันออกไป อันที่จริงจิฮิโระเองก็เคยอยู่ดึกแบบนี้หลายครั้งแล้ว คงเพราะตอนนั้นเขาเองก็พยายามฝึกซ้อมอยู่เสมอ พยายามอย่างหนักเพียงแค่เพื่อที่จะไปอยู่เคียงข้างอาคาชิ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าไม่มีทางก็ตาม
แต่เพียงแค่ขอเข้าใกล้สักนิด.. แค่นิดเดียวก็พอ
อาคาชิเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง เรื่องนี้จิฮิโระรู้ดี ทั้งเอาแต่ใจและชอบบีบบังคับ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเอาแต่ใจที่แสนหอมหวานราวกับน้ำผึ้งที่ชวนให้เหยื่อมาติดกับก็ตาม
และด้วยความที่เป็นถึงกัปตันทีมชมรม รวมถึงเป็นทั้งประธานนักเรียน ภาระหน้าที่ที่มีบางครั้งก็ทำให้อาคาชิต้องอยู่เคลียร์เอกสารหรือไม่ก็ประชุมจนดึกดื่นเป็นประจำ บางวันอาคาชิก็จะแวะมารับจิฮิโระที่อยู่ซ้อมจนดึกไปค้างด้วยกันบ่อยๆ คล้ายกับเป็นเรื่องที่พวกเขาเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด
ตึง!
หันควับไปตามสัญชาตญาณทันที จิฮิโระเดินไปตามเสียงช้าๆ สายตากวาดมองไปรอบแต่เพราะความมืดภายนอก ถึงแม้จะมีแสงจากโรงยิมช่วยส่องสว่างอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เขามองเห็นอะไรชัดมากนัก
“ใครน่ะ..”
หรือจะเป็นอาคาชิ..? ..จะใช่เหรอ.. อาคาชิมาหาเขางั้นเหรอ..
เมี้ยววว ~
ก็แค่แมว แมวตัวเล็กๆที่เขาเคยเห็นมันเพ่นพ่านในโรงเรียนบ่อยครั้งแต่ไม่เคยนึกจะสนใจมันไปมากกว่าให้อาหารมันนิดๆหน่อยๆ จิฮิโระย่อตัวลงก่อนจะลูบหัวเจ้าเหมียวที่เดินเข้ามาคลอเคลียพันแข้งพันขาเขาเล็กๆ
“แค่แมว.. ก็แค่แมวเอง”
ใช่.. ก็แค่แมว.. ถ้างั้น.. แล้วทำไมเขาต้องผิดหวังขนาดนี้ด้วยล่ะ..
-------------------------------------------------------------------------------------
“จิฮิโระ! วันนี้จะอยู่ซ้อมดึกอีกมั้ย”
เสียงตะโกนจากอีกด้านของสนามในโรงยิมดังขึ้นเรียกความสนใจให้เจ้าของชื่อหันไปมอง จิฮิโระนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบ แล้วก็คล้ายกับจะเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของอีกฝ่ายทันทีที่ที่เห็นคำตอบของเขา
“ช่วงนี้อยู่ดึกทุกวันเลยนะ อย่าหักโหมนักเลยน่า” พูดพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“ทำไมล่ะ มีอะไรเหรอ”
“ยังจะมาถามอีก ชวนไปไหนก็ไม่ไป จะซ้อมทั้งวันเลยเหรอไงนายเนี่ย” พูดด้วยท่าทางเซ็งๆก่อนจะเดินกลับไปซ้อมต่อตามเสียงเรียกของเพื่อนร่วมทีมอีกคน
จิฮิโระยืนมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งใจกลับไปซ้อมตามเดิม หากแต่เสียงเรียกจากด้านหลังที่ดังขึ้นแผ่วเบาก็เรียกให้สายตาของเขาหันไปมองเสียก่อน
“ขอโทษนะครับ..”
ผมสีฟ้าอ่อนสวยที่เข้าคู่กับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสงบนิ่ง..
‘คุโรโกะ เท็ตสึยะ’
“คุณคือ.. คนเมื่อตอนนั้น? ..ในห้องพักนักกีฬากับอาคาชิคุง?” แววตาแปลกใจฉายชัดขึ้นมาเพียงแว่บหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งดังเดิม
“....ใช่”
“อาคาชิคุงอยู่มั้ยครับ ผมมีธุระกับเขานิดหน่อย”
ราวกับจะย้ำเตือนถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด คืนดีกันแล้วสินะ
เมื่อตัวจริงที่เฝ้าเรียกหากลับคืนมาอยู่เคียงข้างกายเช่นนี้แล้วแล้ว
ถ้างั้นเงาอย่างเขา.. ก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป
-------------------------------------------------------------------------------------
คุโรโกะพบอาคาชิที่รออยู่ในห้องชมรม เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปหาแม้จะเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายให้พอสมควร
“มาแล้วเหรอ เท็ตสึยะ”
“อาคาชิคุง เรียกผมมาเพราะแบบนี้เองเหรอครับ..”
“ฉันไม่รู้ว่านายพูดเรื่องอะไรนะ เท็ตสึยะ”ร่างสูงกว่าเฉไฉไม่ยอมตอบความจริง ทว่าท่าทางอารมณ์ดีเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้แบบนั้น เขาที่รู้จักอีกฝ่ายมานานพอ เห็นบางมุมที่คนคนนี้ซ่อนไว้มาจนชินชารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ไม่ผิดเลยซักนิด
“อาคาชิคุง...” สีหน้าและแววตาแสดงความไม่เห็นด้วยในสิ่งที่อดีตกัปตันของเขากำลังทำ แต่ตัวเขา จะมีสิทธิอะไรที่จะไปห้ามอีกฝ่ายได้อีก
เพราะเป็นเขาเอง ที่เลือกจะหนีจากอ้อมกอดแสนหวานของคนคนนี้ไปเมื่อครั้งนั้น แม้จะยากเย็นเพียงไหนแต่ที่สุดแล้วก็สามารถปลดปล่อยตัวเองเพื่อบินสู่อิสรภาพบนท้องฟ้ากว้างในที่สุด
ไม่ต้องถูกขังให้อยู่ในกรงของใคร ไม่เป็นแค่นกน้อยแสนสวยงามที่มีไว้ให้เชยชมเพียงอย่างเดียว
อาคาชิย่างก้าวเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของห้อง ร่างโปร่งบางไม่ได้ถอยหนี นัยน์ตาสีฟ้าใสยังคงจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งโดยไม่สื่ออารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
มือเรียวเอื้อมไปเชยคางมนขึ้นให้ระดับสายตาตรงกัน ดวงตาสองสีที่เคยทำให้ลุ่มหลงจนเกือบจะถอนตัวไม่ขึ้นส่องประกายคมกล้าเหมือนเมื่อครั้งวันวานไม่มีผิด
“ถ้านายไม่เห็นด้วยกับวิธีการของฉัน ก็ทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องซะสิ” น้ำเสียงแผ่วเบากระซิบชิดริมหู ราวกับคำล่อลวงของปีศาจร้าย
“ถ้านายอยากให้ฉันปล่อยจิฮิโระไป ก็กลับมาหาฉันสิ เท็ตสึยะ”
คุโรโกะกำมือแน่น ศีลธรรมและความถูกต้องในใจกำลังตีกันไปหมด แม้ภายในจะรู้สึกว้าวุ่นแค่ไหน แต่ภายนอกกลับไม่แสดงออกมาเลยแม้แต่นิด เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ
ถึงจะไม่ปรารถนาให้ใครมารับเคราะห์แทนที่ แต่ถ้าจะให้กลับไป คงไม่มีวันเป็นไปได้อีก
อาคาชิรู้ดีว่าคุโรโกะกำลังรู้สึกผิด แต่ก็รู้ดีพอว่าต่อให้ทำอย่างไร ก็ไม่อาจได้อีกฝ่ายมาอยู่เคียงข้างกายเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
เพราะสิ่งที่ต่างกันก็คือ ความเข้มแข็งของจิตใจ
ถึงจะเป็นความผิดพลาดของเขาเองที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีปีกไว้ใช้ แต่ก็รู้ดีว่าเท็ตสึยะต้องใช้ความเข้มแข็งมากเพียงไหนที่จะบินหนีไปจากเขา โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก
แต่จิฮิโระไม่ใช่
ครั้งนี้ทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้แยบยลกว่าเดิมมากนัก กับดักของปีศาจร้ายที่ไม่มีวันหลุดพ้นได้ ปีกที่ถูกเด็ดทิ้งไป และพลังใจที่จะถูกกร่อนลงอย่างช้าๆจนหมดสิ้น
ริมฝีปากสัมผัสลงบนข้างแก้มอย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก จ้องมองนัยน์ตาสีฟ้าที่ยังคงเป็นประกาย ไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น
เจ้านกน้อยสีสวยที่บินอย่างอิสระ
“น่ารักจริงๆนะ เพราะอย่างนี้แหละฉันได้ชอบนาย เท็ตสึยะ”
-------------------------------------------------------------------------------------
แววตาวูบไหวเพียงชั่วครู่ที่เห็นภาพคนทั้งคู่ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมทันทีที่สัมผัสได้ถึงมือของใครบางคนแตะเข้าที่ไหล่เบาๆ จิฮิโระสะดุ้งเล็กๆก่อนจะหันไปมองด้วยความตกใจ
"นายมายืนทำอะไรหน้าห้องชมรมเนี่ย ไม่เข้าไปเหรอ"
"ไม่ล่ะ" ตอบรับเพียงสั้นๆก่อนจะถอยออกห่าง
แววตาอันแสนอ่อนโยน..
คำพูดที่ฟังหวานหู..
'.........ฉัน.. ชอบนาย เท็ตสึยะ'
ถึงแม้เขาจะได้ยินไม่ชัดเท่าไรนัก แต่คำพูดที่ยังพอได้ยินกับภาพที่เห็นก็ไม่มีทางปฏิเสธเป็นอื่นไปได้
ในที่สุดจิฮิโระก็เข้าใจ..
ถึงแม้เขาจะพยายามจะขัดขืนจนสุดกำลังมากเท่าไร ต่อต้านมากเพียงไหน..
แต่นั่นก็คงเป็นได้แค่ร่างกายที่หลบหนีไป
เพราะหัวใจเขา.. ยังคงผูกติดอยู่กับอาคาชิตลอดเวลา
จิฮิโระเคยนึกเกลียดคุโรโกะ เท็ตสึยะ เกลียดจนสุดหัวใจ ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า เกลียดที่อีกฝ่ายหนีจากอาคาชิไป
เพราะคุโรโกะหนีไป.. เขาจึงต้องกลายมาเป็นตัวแทน
เงาที่คอยรองรับความต้องการอันแสนบ้าคลั่งไม่รู้จบ..
"มายุซึมิคุงครับ.."
เสียงทักจากด้านหลังเรียกสติของคนที่ตกในภวังค์ให้หันมามอง
คนที่ควรจะอยู่ในห้องกับอาคาชิกลับปรากฏกายตรงหน้าเขา
"...."
ความเงียบเป็นเพียงอย่างเดียวที่จิฮิโระนึกเลือกที่จะตอบกลับไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ระหว่างพวกเราทั้งคู่ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ มีเพียงนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสงบที่สบมองมายังตัวเขา เพียงชั่วครู่ที่จิฮิโระสัมผัสได้ถึงบางอย่างในแววตาของคุโรโกะ
..ความสงสาร?
"ผม.. ขอตัว.."
จิฮิโระเอ่ยปากพูดก่อนจะเดินหลบฉากออกมา ความสงสารอะไรกัน ของแบบนั้น..
ไม่ต้องการ
เขาเกลียดคุโรโกะ เท็ตสึยะที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องทุกข์ทนทรมาน แต่ก็.. รู้สึกขอบคุณที่่อีกฝ่ายหนีไป
ตัวเขาที่เหมือนอีกฝ่ายทุกระเบียดนิ้วจึงถือกำเนิดขึ้นมา
ตัวเขาที่ตกหลุมบ่วงนายพรานแสนเจ้าเล่ห์ ล่อลวงให้ลุ่มหลง ติดกับและเชื่อใจ
อย่างถอนตัวไม่ขึ้น..
-------------------------------------------------------------------------------------
จิฮิโระนอนไม่หลับ
ในหัวพาลคิดถึงแต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ที่เห็นมากับตา คำพูดที่ได้ยิน การแสดงความรักของคนสองคนที่ได้เห็น มันตอกย้ำลงในหัวใจจนเจ็บแปลบ
ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้
ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ ตอนที่สายเกินไป ทำไมถึงเพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่ารักอีกฝ่ายแค่ไหน รักมากจนหนีไม่พ้น รักมากจนยอมได้ทุกอย่าง
รักมากจนต่อให้ต้องเป็นตัวแทนใครอีกคน แต่ขอเพียงได้อยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นคู่นั้น ได้เห็นแววตาสองสีที่จ้องมองมาที่เขาคนเดียวยามที่ร่วมรักกัน แม้ชื่อที่เรียกจะไม่ใช่ชื่อตน แต่แค่นั้น ก็เพียงพอแล้ว
แต่ถึงจะอย่างไร มันก็สายไปแล้ว ในเมื่อคนที่เป็นตัวจริงกลับมาเคียงข้างกันเช่นนี้แล้ว ที่ตรงนั้น ก็ไม่ใช่ที่ของเขาอีกต่อไป
ของเล่นที่หมดความหมาย ที่เจ้าของไม่ต้องการ สุดท้ายก็ต้องถูกทิ้งอย่างไร้ค่า
-------------------------------------------------------------------------------------
เขาต้อง..เสียสติไปแล้วแน่ๆ
จิฮิโระกลับมาอยู่ในห้องของประธานนักเรียนอีกครั้ง ห้องเดิมๆ คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะการไหว้วานของใคร แต่เขามาที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง
“อาคาชิคุง..”
“มีธุระอะไร จิฮิโระ”
น้ำคำเย็นชาเป็นเพียงสัญญาณเดียวถึงการรับรู้ว่ามีอีกคนอยู่ในห้อง แม้จะไม่หันมามองก็ตาม
จิฮิโระกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก ถ้อยคำที่ตั้งใจจะมาเอ่ยนั้นราวกับจะติดอยู่ในลำคอที่ตีบตัน มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างกุมเข้าหากันแน่นราวกับจะรวบรวมความกล้า
“อาคาชิคุง ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
เขาเฝ้าถามตัวเองหลายร้อยหลายพันครั้งก่อนจะย่างก้าวเข้ามาในห้องนี้ คิดทำแบบนี้จะดีแล้วเหรอ ทั้งที่รู้ว่าอาคาชิมีคุโรโกะอยู่แล้ว ทั้งที่รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นได้แค่ตัวแทน การทำแบบนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ผิด ไร้ซึ่งความเคารพทั้งต่ออาคาชิ ต่อคุโรโกะและแม้กระทั่งต่อตัวเอง
เขาคงโดนมนต์สะกดของปีศาจร้าย ทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งหลายมลายหายไปจนสิ้น
อาคาชิเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีแดงและเหลืองคู่นั้น ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ทว่ายังคงไม่พูดอะไร ราวกับจะรอคอย ให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเองทั้งหมด
“อาคาชิคุง... กรุณา กอดผมหน่อยได้มั้ยครับ..”
น่าสมเพช...นายนี่มันน่าสมเพชจริงๆ มายุซึมิ จิฮิโระ
-------------------------------------------------------------------------------------
บ้านหลังเดิมที่เคยมาหลายต่อหลายครั้ง ทางเดินที่คุ้นเคย ห้องที่คุ้นตา กลิ่นหอมหวนที่ชวนให้หลงใหลกระจายอยู่จางๆให้พอได้กลิ่น คนที่นั่งอยู่ในห้องก็เป็นคนเดิม ผมสีแดงสดราวเปลวเพลิงและนัยน์ตาอันทรงอำนาจที่ไม่ว่าใครสบสายตาก็พลันสั่นสะท้านไปทั้งกาย แสงไฟจางๆภายในห้องราวกับจะขับกล่อมให้อีกฝ่ายดูน่าเกรงขามมากกว่าเดิม
ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆระหว่างเราสองคน มีเพียงแต่ความเงียบที่ปกคลุมชวนให้อึดอัดใจ อาคาชิไม่พูดอะไร หลังจากคำขอของเขา อีกฝ่ายทำเพียงแค่เงียบ เปรยตามามองเพียงเล็กน้อยก่อนจะจัดการงานที่วางคั่งค้างอยู่บนโต๊ะจนหมด
จิฮิโระรู้ดี รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและน่าสมเพชมากแค่ไหน แม้ว่าอาคาชิจะไม่สนใจ เมินเฉย แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีคุโรโกะอยู่ทั้งคนแล้วก็ตาม แต่เขา.. เขาก็ยังไม่พร้อม ไม่พร้อมจะเป็นอิสระในตอนนี้
ได้แต่อ้อนวอน ร้องขอ แม้จะต้องเป็นแค่ตัวแทนของใครก็ตามที..
"มานี่สิจิฮิโระ"
ประโยคแรกที่เขาได้ยินหลังจากโดนอีกฝ่ายเมินเรียกให้หัวใจคนฟังชุ่มชื่นขึ้นมานิด จิฮิโระเดินก้าวเข้าไปตามคำสั่ง ไปหาคนที่นั่งรออยู่ตรงฟูกนอนนุ่ม
สายตาอีกฝ่ายที่จ้องมองสบมาราวกับเปลวเพลิงที่หลอมละลายคนมองให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ไม่รู้ตัว
"เด็กดี.. มาทำหน้าที่ของนายสิจิฮิโระ"
ราวกับแสงเทียนอันริบหรี่ถูกพายุคำพูดพัดพาให้ดับมอด ใจหนึ่งก็อยากหนีไปจากตรงนี้ แต่เขาก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นเขาเอง.. เป็นเขาเองที่อ้อนวอนขออาคาชิ
หน้าที่เพียงหนึ่งเดียว.. และจะเป็นตลอดไป
..ตัวแทนของเงา..
ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านั้นระหว่างพวกเราทั้งคู่ มีเพียงแต่เสียงจากสาบเสื้อและสัมผัสอันร้อนรุ่มชวนให้ลุ่มหลง รวมถึงแสงไฟจางๆที่สาดส่องให้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายลางๆ
"อ่ะ.. อึก.. อาคา..ชิคุง"
ความสุขสมที่ได้รับแทรกเลือนผ่านความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น
ราวกับโลกทั้งใบขาวโพลนไปชั่วขณะ ลืมสิ้นหมดทุกอย่าง ทั้งความนึกคิด ทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลริน มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวกับนัยน์ตาสองสีที่จ้องมองราวกับจะยิ้มเย้ยหยันในความน่าสมเพชของตัวเขาเอง
"อ่ะ.. อ๊า .. ฮึก.."
"อา..คาชิ..คุง"
ทุกอย่างหยุดชะงักคล้ายกับใครบางคนกดสวิทช์ปิดและคนที่ทำไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากเจ้าของเรือนผมสีแดงสด จิฮิโระหันไปมองด้วยความงุนงงเมื่ออาคาชิหยุดมือเอาเสียดื้อๆ
คล้ายกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปีศาจร้าย
"นาย.. อยากได้ฉันไม่ใช่เหรอ.."
เอ่ยคำพูดต้องมนต์ชวนหลงใหล
"งั้นก็จัดการเองเลยสิ.."
นัยน์ตาฉ่ำปรือมองด้วยความงงงัน สมองประมวลผลคำพูดอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ ความอายแล่นริ้วขึ้นแต่งแต้มใบหน้า ขับให้ใบหน้าที่แดงอยู่ก่อนแดงยิ่งขึ้นไปอีก อาคาชิถอยตัวออกไปอย่างเงียบงัน รอยยิ้มที่แต่งแต้มริมฝีปากนั้นนึกสนุกคล้ายกับพึงพอใจกับการได้กลั่นแกล้งตุ๊กตาตัวโปรด
จิฮิโระยันตัวขึ้นจากฟูกอย่างทุลักทุเล มองหน้าอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ก่อนจะขยับตัวตามไปหาราวกับถูกดึงดูด สายเอ็นของตุ๊กตาตัวงามที่ถูกชักใยเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของผู้บังคับ ยามนี้กลับเคลื่อนไหวปราศจากคำสั่งใดๆจากเจ้าของ
รสจูบที่ฝาดเฝื่อน ไม่ได้ชวนให้รู้สึกดีเหมือนที่ใครอีกคนทำ แม้จะพยายามปลุกเร้ามากเพียงใดแต่ก็ราวกับการโยนกิ่งไม้ลงในกองเพลิง ในเมื่อกองเพลิงที่ว่าไม่รู้สึกรู้สาใดๆกับการเคลื่อนไหวของเจ้าตุ๊กตาตัวงามเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นตัวเขาเองเสียอีกที่ทรมานเพราะการกลั่นแกล้งของใครอีกคน..
เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นจากคนตรงหน้า เรียกให้จิฮิโระเงยหน้าขึ้นไปมอง คำพูดหวานล่อลวงให้ตกหลุมพราง เร่งเร้าให้เหยื่อตายใจ ตะครุบเข้าทันควัน
“ถ้า.. อยากให้ฉันช่วยล่ะก็ .. ลองอ้อนวอน ขอร้องฉันดูสิ..”
“ฉันอาจจะ ..ใจดี ยอมช่วยก็ได้”
อาคาชิมองอีกฝ่ายที่เม้มปากแน่น ร่างกายสั่นเทาราวกับจะรวบรวมความกล้า เขาจะสั่งสอน.. ให้จิฮิโระรู้ว่าไม่ควรจะหนีจากเขาไป ให้รับรู้ด้วยร่างกาย การกระทำ เน้นย้ำฝังลึกทุกสัมผัส
ให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ..
ทั้งอึดอัด ทรมาน จากความสุขสมแปรเปลี่ยนเป็นพิษร้ายเพียงชั่วครู่ จิฮิโระเงยหน้ามองสบนัยน์ตาอีกฝ่าย แววตาสั่นไหวระริกคล้ายกับจะร้องขอให้เมตตากัน แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองนิ่งเฉย รอคอยอย่างเงียบงัน ไม่นึกร้อนใดๆ มุมปากยกยิ้มเล็กๆขับให้อีกฝ่ายดูราวกับปีศาจที่ล่อลวงเหยื่อแสนสวยให้ติดกับ
จิฮิโระจ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนในแววตาสองสีคู่สวย ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับใครคนนั้นราวกับจะฉุดกระชากความจริงออกมาให้เขารับรู้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เลือนหายไปก่อนหน้าตบเข้าฉาดใหญ่ อาคาชิมีคุโรโกะอยู่แล้ว..
แล้วเขากำลังทำอะไรอยู่กัน..
เป็นตัวแทน.. ของไร้ค่า
ไร้ศักดิ์ศรี ..น่าสมเพช ..นายมันน่าสมเพชจริงๆ มายุซึมิ จิฮิโระ
หากแต่ความต้องการที่คั่งค้างรอการปลดปล่อยอยู่ดึงขาเขาให้ลุ่มหลงลงไปในบ่วงแห่งตัณหา นัยน์ตาพร่ามัวไปด้วยราคะที่เอ่อล้น หยาดน้ำตาสีใสคลอเบ้าชวนให้คนมองรู้สึกสงสาร ยกเว้นก็แต่เจ้าของดวงตาสองสีคู่งามที่สบมองมา
ปัดความคิดทั้งหมดทั้งมวลทิ้ง คำว่า ‘หน้าที่’ ที่อาคาชิเอ่ยย้ำเตือนก้องกังวานในจิตใจให้เจ็บแปลบ
อ้อนวอน ร้องขอ ราวกับยาเสพติดแสนหอมหวาน น้ำผึ้งผสมยาพิษที่แม้เพียงแค่จิบเล็กๆก็ทำให้ถึงตาย จิฮิโระกัดฟัน กล้ำกลืนน้ำตาตัวเองให้จมลึกสู่หัวใจ ก่อนจะเอ่ยปาก
“อ่ะ.. อึก.. อาคาชิ..คุง”
“ได้..โปรด.. กะ.. กรุณา ..ช่วยผมด้วยครับ..”
ขาทั้งสองแยกออกกว้าง เปิดเผยให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนของเขา ความอับอายคล้ายกับจะแผดเผาให้ตัวเขามอดไหม้ระเหยกลายเป็นไอ อาคาชิจ้องมองเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆออกมา
ภาพของร่างที่สั่นระริก เต็มไปด้วยตัณหาและยอมสยบอย่างราบคาบตรงหน้า ราวกับชัยชนะที่หอมหวาน ในที่สุดจิฮิโระก็รู้ตัวว่าไม่เคยหนีเขาพ้น และท้ายที่สุดก็ต้องทำเพื่อเขาทุกอย่างหากเขาต้องการ
“ถ้าขอร้องกันถึงขนาดนี้.. ฉันก็จะใจดียอมช่วยแล้วกัน..”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ว่าอาคาชิกลับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าที่สุด ริมฝีปากค่อยๆจุมพิตลงแผ่วเบาบนกลีบปากสีสดที่แสนยั่วยวนโดยไม่ยอมให้ล้ำลึกไปกว่านั้น มือเรียวที่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายโดยทั่วทุกส่วนทว่ากลับละเลยจุดที่ต้องการจะให้สัมผัสมากที่สุดอย่างจงใจ
ราวกับจะทรมานคนที่ต้องการจนแทบจะทนไม่ไหวให้ขาดใจคาอ้อมกอดนี้
“อาคาชิคุง ฮึก..”เสียงหวานสะอื้นทุกครั้งที่สัมผัสกดย้ำลงบนผิวกาย นัยน์ตาสีอ่อนคลอไปด้วยหยดน้ำตาปรือมองอย่างอ้อนวอน
ไม่เข้าใจ ทำไม ทั้งที่ยอมขอร้อง ยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงยังกลั่นแกล้งเขาอยู่อีก
“ได้โปรด อาคาชิคุง อึก.. ขอร้องล่ะ..ครับ” พร่ำขอร้องอย่างน่าสมเพช ทว่าในวินาทีนี้จิฮิโระไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ แม้แต่วิญญาณก็ยอมขายให้กับปีศาจร้าย มอบทุกสิ่งให้คนตรงหน้าไปจนหมดสิ้น
จะนำมันไปดูแล เหยียบย่ำ หรือแม้แต่จะโยนทิ้ง เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
คำอ้อนวอนที่พร่างพรูออกมาไม่ขาดปาก กับร่างกายที่แอ่นเกร็งราวกับสายของคันธนูที่ถูกเหนี่ยวจนใกล้จะขาดผึง นัยน์ตาสองสีสบมองกับนัยน์ตาสีอ่อนเบื้องล่างแล้วแสยะยิ้มมาดร้าย ก่อนจะฝังกายลงในความอุ่นร้อนที่รอคอยเขาอยู่ภายในครั้งเดียว
“อ๊า!!” เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายแทรกกายเข้ามา หยาดน้ำตารินไหลออกมาไม่ขาดสาย โลหิตสีแดงฉานซึมออกมาจากช่องทางที่ไม่ได้ใช้งานมานานเริ่มฉีกขาด
ทว่า ทั้งที่เป็นแบบนั้น ร่างเบื้องบนกลับเริ่มเคลื่อนไหว ไม่รีรอให้ปรับตัวกับความเจ็บปวดที่ได้รับแต่อย่างใด
ทั้งเจ็บ และก็ทรมาน แต่ว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงร่างกายร้อนผ่าวที่แนบชิดจนแทบไร้ช่องว่าง เสียงหัวใจที่เต้นดังแข่งกับเสียงหอบหายใจถี่รัวอันแสนคุ้นเคย สัมผัสที่เคยปฏิเสธว่าไม่ต้องการ อ้อมกอดที่เคยบอกตัวเองว่าไม่คิดถึง แต่บัดนี้เรียวแขนกลับเหนี่ยวรั้งร่างอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมให้ห่างไปไหนอีก
เรียวปากบางพร่ำเรียกชื่อผู้ที่กำลังทรมานเขาด้วยความสุขสมครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับไม่รู้จักพอ ราวกับจะทำให้แน่ใจว่าคนคนนี้อยู่ตรงหน้าเขาจริงๆไม่ใช่แค่ฝันไป
ถึงแม้สำหรับอาคาชิแล้วเขาจะอยู่ในฐานะอะไรก็ช่าง ถึงจะมีใครอีกคนอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะเป็นเพียงค่ำคืนเดียวที่อาคาชิยอมตอบสนองต่อคำขอร้องของเขา เขาก็จะตักตวงมันให้เต็มที่
ความเจ็บปวดและความสุขสมกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาให้ไหลรินลงข้างแก้ม เรียกให้อีกฝ่ายขยับใบหน้าเข้ามาแนบชิด กลืนกินทุกสัมผัสที่ร่วงหล่น ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูเจ้าตุ๊กตาตัวงาม
“ในเมื่อวันนี้นายเป็นเด็กดี.. งั้นฉันก็จะบอกอะไรดีๆตอบแทนให้ฟังแล้วกัน”
สัมผัสที่แทรกเข้ามาลึกล้ำ ย้ำชัด ตีตราถึงความเป็นเจ้าของให้คนใต้ร่างได้รับรู้ หากแต่ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ย เสียงที่คุ้นหู คล้ายกับจะเข้าไม่ถึงโสตประสาทใครอีกคนที่กำลังดื่มด่ำกับน้ำผึ้งอันแสนหอมหวน
"เท็ตสึยะ.. ไม่กลับมาแล้ว ..และไม่เคยคิดที่จะกลับมา"
ท่ามกลางสติสัมปชัญญะที่พร่ามัวจนราวกับว่าตัวเองจะเผลอหูแว่วไป จิฮิโระเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความงุนงง
“หมอนั่น.. เป็นอิสระแล้ว..”
นัยน์ตาสองสีแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆยามเอ่ยถึงคนที่สำคัญที่สุด หากแต่เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นก็แปรเปลี่ยนกลับเป็นเย่อหยิ่งดังเดิม ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยย้ำช้าชัดทุกคำให้อีกฝ่ายได้ยิน
ความโล่งใจไหลท่วมอกราวกับเขื่อนแห่งความสุขที่ล้นทะลักไม่อาจห้ามได้เรียกให้หยาดน้ำตาแห่งความดีใจรินไหล เหมือนคนที่หลงทางอยู่ในความมืดได้พบแสงอบอุ่นที่ปลายอุโมงค์
“ถ้าอย่างนั้น.. ให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณ..”
“..ช่วยทำให้ผมเป็นของคุณ ..แค่คุณคนเดียว”
ยอมกระโจนลงสู่กับดักที่อีกฝ่ายวางไว้อย่างเต็มใจ เอื้อมมือไขว่คว้าเบ็ดที่รออยู่อย่างไม่รีรอ ท่ามกลางความมืดมนสิ้นหวังเมื่อมีใครให้แสงสว่างแม้เพียงน้อยนิดคนที่หลงทางอยู่นั้นย่อมจะคว้ามันไว้อย่างไม่ลังเล
คำพูดที่อยากได้ยินหลุดออกจากปากคนใต้ร่าง ใบหน้ายิ้มดีใจของจิฮิโระที่หาได้ยากยิ่งเหมือนกับใครคนนั้นนึกคล้ายกับคนที่อยู่ในหัวใจเขาตลอดมา ริมฝีปากวาดยิ้มเล็กๆด้วยความพึงพอใจ เท่านี้ คนตรงหน้าก็จะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ เป็นตุ๊กตาที่ว่าง่าย เชื่อฟัง และไม่มีวันคิดหนีจากเขาไปไหนได้อีก
“แน่นอน เด็กดี.. นายเป็นของฉันแค่คนเดียวเท่านั้น”
‘..เท็ตสึยะที่น่ารักของฉัน..’
-------------------------------------------------------------------------------------
เขาเคยเลี้ยงนกอยู่ตัวหนึ่ง.. ทั้งที่เฝ้าดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดี เต็มใจมอบให้ทุกอย่างที่ต้องการ เว้นเพียงอย่างเดียวที่ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยนั้นจะต้องการมากที่สุด
อิสรภาพ
เพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายจึงต้องใส่กรงไว้ ให้อยู่ในที่ที่เขามองเห็นได้ ให้เป็นของเขาแต่เพียงคนเดียว
ทว่าแม้จะกักขังมากเพียงไหน แต่เจ้านกตัวน้อยนั้นก็ไม่ย่อท้อ พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขา ร่างกายเล็กจ้อยแสนบอบบางทว่ากลับดื้อรั้นได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ดื้อดึงเสียจนอยากจะเห็น เวลาที่ยอมจำนน แล้วทำตามทุกอย่างที่เขาต้องการจะน่ารักสักเพียงไหน
ไม่ได้จงใจกลั่นแกล้ง แต่แค่อยากรู้ ดวงตากลมโตที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นคู่นั้น เมื่อถูกทำให้ฉาบไปด้วยความสิ้นหวังจะสวยงามขนาดไหน ความหรรษายามได้เห็นสิ่งนั้นราวกับจะเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่เขาเผลอเสพติดไปเสียแล้ว คล้ายกับการลุ่มหลงยังผลแอ๊บเปิ้ลในสวนต้องห้ามอันแสนหอมหวานชวนติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น
ชีวิตที่แสนน่าเบื่อ... ราวกับถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นอันแสนท้าทาย
แต่แล้วทั้งหมด.. กลับพังทลาย.. เจ้านกน้อยกลับโผบินขึ้นบนฟากฟ้าสู่อิสรภาพด้วยปีกทั้งสอง
ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามต้องการ ครั้งแรกที่รู้จักกับคำว่าผิดหวัง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันไม่รู้ที่มา ร่างกายไม่ได้เป็นแผลทว่ากลับรู้สึกวูบโหวงข้างในอกราวกับมีรูโหว่ รู้สึกเหมือนบางอย่างหายไป
และเขาไม่อยากที่จะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
จึงออกตามหาเจ้านกตัวใหม่ ทั้งรูปร่างและบุคลิกที่เหมือนกัน แม้ครั้งแรกจะไม่เหมือนสักทีเดียวแต่ก็ไม่เป็นไร เขาจะเลี้ยงดูฟูมฟัก ให้ออกมาเหมือนกับที่ต้องการไม่มีผิดเพี้ยน
แล้วเขาก็พบ เธอที่ดื้อรั้นนิดๆ ชวนให้นึกถึงนกน้อยที่บินหนีไปตัวนั้น
แต่คราวนี้เขาจะไม่ให้เป็นแบบนั้น ..จะไม่มีทางให้ซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปาก วาดฝันแผนการ วางแผนอย่างรัดกุม เพียงเพื่อหลอกให้ตายใจ เชื่อฟัง ภักดี เพียงเท่านี้ ต่อให้ปีกนั้นกระพือเล่นลมมากแค่ไหน..
ถึงแม้เธอจะบินหนีไป แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดเธอก็จะต้องบินกลับมาหาฉัน ฉันที่เป็นเจ้าของเธอ ดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอที่ขาดฉันไม่ได้
ไม่มีวัน.. ไม่มีวันที่เธอจะบินหนีจากฉัน..
เธอจะต้องอยู่ในกรงของฉัน
..ตลอดไป..
End or TBC..... again
Talk :
ในที่สุดมันก็มีต่อค่ะ แถมโคตรยาว แต่งกันไปได้ คราวก่อนแต่งเสร็จภายในวันเดียว แต่คราวนี้ดองนานเป็นอาทิตย์ กร๊ากกก โชคยังดี(?)ที่จิฮิโระคุงยังไม่มีบทอะไรมากเลยยังพอมโนได้อยู่ (แต่ต่อไปไม่แน่ ฮาา)
อาคาชิอัพเกรดความยันเดเระบวกโรคจิตขึ้นรึเปล่า.. *โดนกรรไกรแทง*
ปล.ตั้งใจว่าจะรวมเล่มฟิคนี้แบบขำๆค่ะ คงทำเป็นขนาด A6 (ครึ่งนึงของฟิค A5) แล้วก็ไม่หนามากประมาณ 100 หน้านิดๆ แล้วก็มีตอนพิเศษเพิ่มเติมกับรีไรท์ให้สองเรื่องต่อกันมากขึ้น มีใครสนใจบ้างคะ lol
ชอบบบบบบในความเอสและยันของท่านอาคาชิ
ReplyDeleteแต่แอบอยากให้เท็ตสึยะกลับมา แง้ววววววว >_<
แต่ก็สงสารจิฮิโระ TvT
ประเด็นคืออ่านตอนล่าสุดแล้วเจ็บปวดกับคำพูด
ของท่านอาคาชิมากค่ะ... ในฟิคเลยอยากให้สมหวัง
เราอ่านตอนนี้แล้วคาดหวังว่าจะกลับมาคู่กันอยู่ แง้ๆๆๆๆๆ
>_< ถ้ามีต่อก็จะแว่บมาอ่าน....
มีคำถามค่ะ เมื่อไหร่ท่านอาคาชิจะจับคุโรโกะขึ้นเตียง.... อั๊ค-- //โดนถีบ
ReplyDeleteอ่านแล้วได้อารมเคล้าน้ำตาอยู่หรอก เพราะยังไงๆ ใจของท่านพี่แกก็มีแต่หนูครก
อย่างไรก็ตามอยากเห็นอาคาชิกับคุโรโกะแบบจริงๆ จังๆ จังเลย