** เปิดจองรีปริ๊นท์ D18 Anthology ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน
ดูรายละเอียดได้ที่ >> Link << เลยค่ะ **
** ฟิครวมเล่ม Replay#1 - Teikou Day จะวางขายในงาน Comic Avenue วันที่ 20 ตุลาคม บูท A04
ติดตามรายละเอียดของงานได้ที่ >> Link << นี้เลยค่ะ **
==================================
Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
Link :
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 25.5 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35
36
เสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่เบื้องหลังประตูทำให้คนที่อยู่ในห้วงนิทราค่อยๆคืนสติขึ้นมาทีละน้อย นัยน์ตาสีฟ้าพยายามกระพริบปริบเพื่อไล่ความมึนงงที่ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด
เสียงประตูเปิดออกก่อนเสียงเอะอะภายนอกที่ได้ยินจะเงียบลงไป แล้วตามด้วยเสียงประตูที่ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง เท็ตสึยะ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างเตียง คุโรโกะค่อยๆหันศีรษะที่หนักอึ้งราวกับมีค้อนคอยทุบอยู่ตลอดเวลาไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อมองหาเจ้าของเสียง แม้จากสำนวนที่ใช้ก็พอจะรู้ดีว่าเป็นใคร
“อาคาชิคุง.. โมโมอิซัง” ร่างของผู้จัดการสาวและกัปตันทีมปรากฏแก่สายตา ภายในห้องที่พวกเขาอยู่เป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่ไม่ได้มีอะไรมากมายนอกจากตู้หยูกยาต่างๆมากมายกับเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มผมแดงนั่งอยู่และเตียงเพียงเท่านั้น
คำถามที่ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อพยายามเค้นถึงความทรงจำที่ขาดหายไป แต่เมื่อนึกย้อนไปเรื่อยๆก็ทำให้จำได้ถึงเรื่องที่สำคัญกว่า
“การแข่งขันล่ะครับ!?” ทั้งหมดที่จำได้คือเขาหมดสติไประหว่างการแข่งขัน ถ้างั้นผลการแข่งล่ะ?
“แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเราเป็นฝ่ายชนะ ส่วนรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มในอีกห้านาที ตอนนี้คนอื่นๆก็กำลังเตรียมตัวกันอยู่ถึงมาเยี่ยมไม่ได้ไงล่ะ”
คำตอบที่ทั้งให้ความโล่งอกและสร้างความตื่นตระหนกให้พอๆกัน นัดชิงชนะเลิศของอินเตอร์มิดเดิลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทีมคู่แข่งก็คือทีมของโอกิวาระคุง เขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนสมัยเด็กให้ได้
“ถ้างั้นผมจะลงแข่งด้วยครับ!!” คุโรโกะพูดก่อนจะรีบลุกพรวดพราดออกจากเตียง ทว่าอาการมึนหัวที่เกิดจากการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันนั้นกลับทำให้เซจนแม้แต่จะยืนให้ตรงยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“สภาพแบบนั้นฉันไม่มีทางอนุญาตให้นายลงแข่งได้หรอกนะ หมอบอกว่าให้พักผ่อนเยอะๆ ดังนั้นฉันแนะนำว่านายควรจะนอนพักไปซะดีกว่า”
“แต่ว่า!”
“ฉันรู้ โอกิวาระคุงสินะ” อาคาชิดักคออย่างรู้ทัน เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่อ้างว่าเป็นเพื่อนกับเท็ตสึยะมาพอดี ทว่า สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเขาเกี่ยวกับคนคนนั้นมีเพียงคำพูดที่แสนจะไร้สาระและอ่อนต่อโลก
การเล่นบาสเก็ตบอลด้วยความสนุกสนานอะไรนั่น จะไปสำคัญกว่าชัยชนะได้ยังไงกัน
“หมอนั่นฝากมาบอกด้วยว่า ‘พวกเราจะต้องได้เล่นบนสนามเดียวกันอีกแน่นอน’”
ความจริงอาคาชิ เซย์จูโร่ไม่ใช่กระดานฝากข่าวของใคร และไม่คิดจะสนใจเรื่องของคนอื่น ทว่าถ้าหากไม่ยอมพูดแบบนี้ร่างเล็กตรงหน้าอาจจะดันทุรังไปลงสนามจนเขาต้องใช้มาตรการเด็ดขาดกว่านี้ก็เป็นได้
นัยน์ตาต่างสีหรี่มองเด็กหนุ่มผมฟ้าเบื้องหน้าที่ยอมจำนนต่อเหตุผลและคำพูดของคนที่ได้ฝากฝังมา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงคนไข้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่นัก
“เข้าใจแล้วครับ...”
“อาคาชิคุง...”
“มีอะไรหรือ?”
“ในรอบชิง ช่วยเล่นเต็มที่ด้วยนะครับ”
กัปตันทีมเทย์โควเลิกคิ้วถามกับคำขอร้องนั้น “แม้ว่าคะแนนที่ออกมาจะห่างกันมากขนาดไหนก็ตามน่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ.. เพราะว่าถ้าเป็นโอกิวาระคุงล่ะก็ เขาคงไม่อยากจะให้ใครมาออมมือให้แน่ๆ”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะแสดงให้พวกนั้นได้เห็น ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเทย์โคว”
.
.
.
.
คุโรโกะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่พอลับหลังร่างของกัปตันทีมเทย์โควไปได้ไม่ทันไร ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมขึ้นจนแทบจะฝืนลืมตาไว้ไม่อยู่ รู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
“การแข่งขันล่ะครับ!?” สิ่งแรกที่วูบเข้ามาในหัวทำให้รีบเอ่ยถามเด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้องทันที
“อ๊ะ เท็ตสึคุง อย่าเพิ่งลุกสิจ๊ะ” โมโมอิรีบเข้ามาห้ามเมื่อเห็นคนป่วยลุกพรวดพราดแล้วทำท่าจะล้มลงไปหัวทิ่มพื้นให้อาการหนักขึ้นอีกรอบ มือบางประคองอีกฝ่ายให้นั่งลงบนเตียงก่อนจะค่อยตอบคำถาม “ตอนนี้เริ่มควอเตอร์ที่สี่ไปแล้ว ฉันว่าพวกเราน่าจะนำอยู่พอสมควรเหมือนกันนะ..”
ควอเตอร์ที่สี่แปลว่าการแข่งขันใกล้จะจบเต็มที นอกจากจะไม่สามารถลงเล่นในสนามได้ทำให้ผิดสัญญาที่ให้กับโอกิวาระคุงแล้วเขายังเผลอนอนจนเกือบพลาดการแข่งของอีกฝ่ายด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้แน่ๆ
“ผมจะไปดูหน่อยนะครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าร้อนใจรีบลุกขึ้นมาจากเตียงอีกรอบ “เหมือนจะเห็นว่าตรงทางเดินมีโทรทัศน์ถ่ายทอดการแข่งขันอยู่”
“เดี๋ยวสิ เท็ตสึคุง..!”
“ถึงผมจะไม่สามารถลงแข่งได้ แต่อย่างน้อยก็อยากจะเห็นการแข่งขันนัดนี้ด้วยสองตาของตัวเองน่ะครับ”
ได้ฟังเช่นนั้นผู้จัดการสาวจึงไม่อาจขัดขวางความตั้งใจของอีกฝ่ายได้ แม้สภาพของเท็ตสึคุงตอนนี้จะดูไม่สู้ดีนัก แม้แต่เดินเฉยๆยังไม่ค่อยมั่นคงเลยก็ตาม
บริเวณโถงทางเดินนอกจากพวกเขาแล้วยังมีคนอื่นๆยืนดูการถ่ายทอดภาพทางโทรทัศน์อยู่เช่นกัน
“สมเป็นเทย์โคว ความห่างชั้นกันขนาดนี้ ไม่ต้องรอจนจบก็รู้แล้วล่ะว่าใครจะชนะ”
“แต่ว่าฝั่งเมย์โควเองก็ทำได้ดีพอสมควรนะ ถึงจะรู้ว่าต้องแพ้ก็เถอะ”
เด็กหนุ่มสองคนมองดูการแข่งขันพลางวิจารณ์กันไปต่างๆนานา แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นร่างเล็กที่เดินมายืนดูอยู่อย่างเงียบๆ
นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องจอสี่เหลี่ยมที่แขวนอยู่เหนือหัว ภาพของคนสิบคนในสนามที่เขาแสนจะคุ้นเคยกำลังเคลื่อนไหวไปมา แม้จะใช้เวลาดูแค่ไม่นานนักก็เห็นได้ชัดว่าเทย์โควกำลังเป็นฝ่ายคุมเกมไว้แทบจะทั้งหมด
กล้องในสนามแพนไปยังป้ายไฟอีกครั้งเมื่อมีการทำคะแนนได้ แต้มที่ปรากฏอยู่บนสกอร์บอร์ดนั้นแสดงให้เห็นว่าเทย์โควเป็นฝ่ายทิ้งห่างไปกว่าร้อยแต้ม
“ทิ้งช่วงห่างกันขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นไรสินะ ถ้วยรางวัลชนะเลิศอันที่สามของพวกเรา..” โมโมอิที่ตามมาทีหลังพูดขึ้นพลางถอนหายใจโล่งอก
พวกเขากำลังจะคว้าชัยชนะไปได้อีกครั้งอย่างค่อนข้างจะแน่นอน มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ ทว่าเมื่อมองดูการเล่นของผู้เล่นเทย์โควแต่ละคนแล้ว คุโรโกะกลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป
ภาพของผู้เล่นฝ่ายเมย์โควแต่ละคนที่มีสีหน้าท้อแท้หมดหวังเนื่องจากถูกพละกำลังอันแข็งแกร่งของว่าที่ผู้ชนะบดขยี้จนแทบไม่เหลือชิ้นดี
“เรายังมีเวลาเหลืออยู่ อย่าเพิ่งยอมแพ้กันสิพวกเรา!” เจ้าของประโยคนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโอกิวาระ ชิเงฮิโระนั่นเอง แม้จะอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังแต่เด็กหนุ่มผมดำก็ยังไม่ตัดใจยอมแพ้ แม้ว่ารอยยิ้มที่ปรากฏนั้นจะแลดูฝืดฝืนแค่ไหนก็ตาม
ด้วยคำพูดของเด็กปีหนึ่งที่ไฟแรงที่สุดในทีมทำให้เมย์โควกลับมาสู้ต่ออีกครั้ง แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำแต้มเอาคืนให้ได้ดีที่สุด “ถึงจะต้องแพ้ แต่ก็ขอแพ้อย่างไว้ลายล่ะน่า!”
ก่อนการแข่งขัน เขาได้ขอร้องอาคาชิคุงให้ช่วยเล่นเต็มฝีมือไม่ว่าจะยังไงก็ตาม และกัปตันทีมก็สัญญาว่าจะไม่มีการออมมือให้ ทว่าสิ่งที่เพื่อนร่วมทีมของเขากำลังทำอยู่ในตอนนี้...มันกลับไม่ใช่
“ไม่น่าเป็นไปได้...ทำไมล่ะ..?”
“เท็ตสึคุง!? จะไปไหนน่ะ?”
เป็นอีกครั้งที่คุโรโกะหุนหันจากไปโดยไม่ฟังคำค้านของโมโมอิ ขาอ่อนแรงรีบพาเจ้าของไปยังสนามแข่งขันที่อยู่ด้านในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังเพียงแต่ว่า
ภาพที่เห็นจากจอสี่เหลี่ยมเล็กๆนั้นจะต้องมีอะไรที่ผิดพลาด มันจะต้องเป็นแสงหรืออะไรบางอย่างที่หลอกตาให้หลงคิดไปเองแน่ๆ
เหลืออีกไม่กี่วินาทีจะหมดเวลา โอกิวาระเลี้ยงลูกหลบผ่านอาโอมิเนะไปได้โดยอาศัยการเปลี่ยนความเร็วในชั่วอึดใจ เพราะความต้องการที่จะทำคะแนนให้ได้มากที่สุดจึงเสี่ยงชู้ตจากระยะไกลเพื่อหวังสามแต้ม ทว่าลูกบาสเก็ตบอลกลับกระทบกับห่วงเหล็กแล้วกระดอนออกมา
“ว้า ไม่เอาน่า ฉันอุส่าห์ยอมให้ผ่านไปได้ทั้งทีอย่างน้อยก็น่าจะทำให้ได้หน่อยสิ เฮ้ มุราซากิบาระ” เด็กหนุ่มผิวแทนพึมพัมอย่างเสียดาย ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนร่างใหญ่ของตน
“ได้~เลย~~” มุราซากิบาระกระโดดขึ้นรีบาวด์ลูกได้ แต่แทนที่จะเคลียร์ออกข้างสนามหรือส่งกลับไปให้เพื่อนร่วมทีมเพื่อบุกต่อ เซ็นเตอร์ร่างยักษ์กลับส่งลูกบาสเก็ตบอลกลับเข้าห่วงของตัวเองไปดื้อๆ
กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาทันทีที่คะแนนสุดท้ายถูกขานขึ้นท่ามกลางความสับสนและไม่เข้าใจของใครหลายๆคน การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศที่ควรจะปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ด้วยชัยชนะของเทย์โควกลับจบลงด้วยการทำลูกเข้าห่วงฝั่งตัวเองของมุราซากิบาระ
“ให้ตายสิ ทั้งที่อุส่าห์จัดฉากให้พวกนายได้จบอย่างสวยๆแล้วทั้งทีแล้วเชียว”
“อ๋า แต่ดูสิๆ อย่างน้อยคะแนนก็ออกมาสวยงามแล้วนา ก็ถือว่าทำสำเร็จล่ะ”
คำพูดแปลกประหลาดของสองผู้เล่นเทย์โควทำให้เริ่มฉุกคิดในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือว่าการทำเข้าประตูตัวเองเมื่อครู่นั้นจะเป็นการจงใจของเทย์โคว?
แต่ว่าเพื่ออะไรกันล่ะ?
เด็กหนุ่มผมดำหันไปมองสกอร์บอร์ดที่อยู่อีกฟากสนาม ตัวเลขสีขาวที่ปรากฏอยู่บนป้ายไฟขนาดใหญ่นั้นทำให้ต้องเบิ่งตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
‘เทย์โคว 111 – 11 เมย์โคว’
คะแนนของทั้งสองทีมที่มีแต่เลข 1 เพียงตัวเลขเดียวเท่านั้น ถ้าจะมองว่ามันเป็นความบังเอิญก็ย่อมได้ แต่จากคำพูดของอาโอมิเนะและการกระทำในตอนท้ายเกมของมุราซากิบาระ ทำให้รู้ได้ว่ามันไม่ใช่
ถ้างั้นแล้ว แต้มที่พวกเขาทำได้ ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายจงใจยอมปล่อยเพื่อให้แต้มสุดท้ายกลายเป็นแบบนี้น่ะเหรอ
สำหรับเทย์โคว สำหรับจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขาเป็นเพียงแค่ตัวหมากที่ใช้เล่นฆ่าเวลาจากความเบื่อหน่ายเพียงเท่านั้นสินะ
“โอกิวาระคุง!” เสียงทุ้มใสของใครบางคนดังขึ้นจากข้างสนาม เด็กหนุ่มผมดำหันไปมองเพื่อนสนิทโดยไม่รู้เลยว่าสีหน้าของตนกำลังย่ำแย่เพียงใด ความพ่ายแพ้ครั้งนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้
“คุโรโกะ..” สีหน้าที่ฉายเพียงแต่ความสิ้นหวัง ดวงตาไร้ซึ่งประกายที่มองมานั้นทำให้ร่างเล็กกว่านิ่งงัน ขยับกายแทบไม่ได้ หันไปอีกทางก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเพื่อนร่วมทีมที่เดินออกจากสนามอย่างนิ่งเฉย ไม่มีความยินดีในชัยชนะใดๆทั้งสิ้น
อาคาชิคุง..ทำไม
หยดน้ำหยดหนึ่งร่วงลงมาจากนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ก่อนจะตามด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่อาจห้ามได้ หัวใจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนอะไรบางอย่างบีบรัดไว้แน่นจนแหลกสลาย
คำสัญญาระหว่างกันที่ไม่อาจรักษาไว้ได้ ซ้ำยังถูกเหยียบย่ำทำลายโดยคนที่เคยไว้ใจมากที่สุด
ไม่ว่าจะกู่ร้องออกไปอย่างไร ต่อให้ตะโกนจนลำคอแหบแห้งแค่ไหน เสียงของเขา ก็ไม่อาจส่งไปถึงเพื่อนร่วมทีมได้อีกต่อไปแล้ว
ทั้งที่เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทว่ากลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย ภายในอกรู้สึกปวดไปหมด แม้แต่การสูดลมหายใจยังทำได้ยากเย็น
แบบนี้น่ะเหรอ ที่เรียกกันว่า ‘ชัยชนะ’ น่ะ
‘สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชัยชนะ ไม่มีเลยเหรอครับ’
‘ไม่มีหรอก เพราะว่าปรัชญาของเทย์โควก็คือ ต้องชนะ เท่านั้นยังไงล่ะ’
สิ่งที่ครั้งนึงเคยเอ่ยปากถามกัปตันแห่งเทย์โควไว้ ถ้าชัยชนะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อคว้ามันไว้ได้ในมือ ก็ควรจะพึงพอใช่ไม่ใช่เหรอ
แต่ตอนนี้ เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่อาจเข้าใจอะไรได้อีก
สิ่งที่เรียกว่าชัยชนะ มันคืออะไรกันแน่
.
.
.
.
บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นสีเทา ไร้ซึ่งแสง เสียง หรือเงาใดๆทั้งสิ้น เขานั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้ที่มักจะใช้ในห้องแต่งตัว
‘ทำไม...ทุกคนถึงลงเล่นในการแข่งขันแบบนั้นกันล่ะครับ..?’
‘ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าความห่างชั้นระหว่างกันมันมากจนเกินไป ต่อให้เล่นแบบไหนผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิมอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?’ จู่ๆ อาคาชิ เซย์จูโร่ก็ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเพื่อตอบคำถามนั้น
‘แต่ว่า... ทั้งๆที่ผมขอร้องไม่ให้ออมมือในการแข่งแล้วแท้ๆ..’
‘พวกเราเพียงแต่ควบคุมการเป็นไปของการแข่งขัน ถ้าเทียบกับการแข่งกันทำคะแนนแล้ว แบบนี้คนอื่นๆก็ถือว่าตั้งใจเล่นกว่ากันเยอะนี่นะ’
‘ผมไม่ได้... หมายถึงแบบนั้น..!’
‘นายจะถือว่าพวกเราขาดเหตุผลที่ดีพอก็ตามใจ แต่ถ้างั้นฉันขอถาม ทำไมนายถึงขอให้ฉันเอาจริงเฉพาะในนัดนี้กันล่ะ ทำไมครั้งอื่นๆถึงไม่ยอมพูดอะไร ก่อนหน้านี้ที่นายทำเป็นไม่สนใจได้เพียงเพราะคู่ต่อสู้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนาย แต่พอเป็นคนรู้จักขึ้นมากลับมาขอร้องให้ทำอะไรแบบนี้ สำหรับฉันแล้ว นั่นแหละที่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล’
‘เอ๋ คู่แข่งในรอบชิงนี่เป็นเพื่อนของคุโรโกจจิเองเหรอ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ อา..แต่ว่านะ ถึงจะบอกไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีมั้ง ด้วยแต้มที่ห่างกันเกินไปขนาดนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงถึงจะมีสมาธิได้ตลอดเกมน่ะ’
‘การสักแต่ว่าทำคะแนนเพียงอย่างเดียวมันน่าเบื่อจะตายไปนี่นา~~ ก็พวกเราไม่ใช่อาสาสมัครหรืออะไรแบบนั้นซักหน่อย เนอะ มิโดจิน’
‘ฉันไม่สนหรอกว่าพวกนายจะเล่นกันแบบไหน ฉันจะทำหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วงก็พอ’
อีกสามคนที่เหลือปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ถ้อยคำที่เย็นชาห่างเหินเมื่อเทียบกับนัดชิงชนะเลิศเมื่อปีที่แล้วช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แม้แต่คิเสะคุงเองก็เหมือนกัน
'ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเอาจริงหรอกนะ แต่ที่ทำไม่ได้เป็นเพราะพวกนั้นอยากอ่อนแอเกินไปเองต่างหาก เราแค่อยากจะลดความเบื่อหน่ายลงบ้างก็เท่านั้น’
เด็กหนุ่มผิวแทนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้รูปร่างภายนอกจะเป็นคนคนเดียวกันแต่ภายในนั้นกลับไม่ใช่อาโอมิเนะคุงคนที่เขารู้จักอีกต่อไป
‘ทำไมคนที่แข็งแกร่งกว่าจะเล่นสนุกบ้างไม่ได้ มันเป็นความผิดของพวกนั้นเองต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาต่างหากที่ควรจะต้องมาขอโทษเราน่ะ’
‘หรือนายจะบอกว่า ถึงจะห่างชั้นกันเท่าไหร่ ก็มีทางที่เราจะทำให้เป็นการแข่งแบบมิตรภาพที่ทุกคนมีความสุขกันหมดหลังจากจบเกมได้อย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นงั้นจริง แล้วนายจะให้พวกเราทำยังไงกันล่ะ?’
อาโอมิเนะคุงคนที่เขาเคยหลงใหลเมื่อเห็นอีกฝ่ายเปล่งประกายอยู่ในสนามบาสอย่างมีความสุข คนที่ทำให้เขาค่อยๆตกหลุมรักอย่างไม่รู้ตัวทุกครั้งที่ได้เล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันในโรงยิมที่สี่ที่ไร้ผู้คน คนที่คอยให้กำลังใจยามที่เขาสิ้นหวัง
คนคนนั้น ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว
‘เรื่องนั้น...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า ชัยชนะของพวกเราในวันนี้ สำหรับผมแล้วมันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความผิดหวังครั้งไหนๆที่เคยเผชิญมาซะอีก’
ยังจำได้ชัดเจน สีหน้าของโอกิวาระคุง สีหน้าของทุกคน
‘ต่อให้ไม่มีทางอื่นให้เลือกเดิน ผมก็ไม่อยากจะพบเจอกับความรู้สึกย่ำแย่แบบนั้นอีกแล้ว รวมถึงผมคงไม่อาจลืมเลือนสิ่งที่เกินขึ้นในวันนี้ไปได้ เพราะฉะนั้น...’
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปเบื้องหน้าก็พบแต่เพียงความมืดมิดสุดสายตา ไร้แสงนำทาง ไร้ซึ่งทางออก มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ความเจ็บปวด ผิดหวัง สับสน หนักอึ้งถ่วงร่างกายไว้จนก้าวขาไปไม่ออก แม้แต่จะยืนก็ยังซวนเซจนแทบยืนไม่อยู่
พอกันทีกับการเสแสร้ง หลอกตัวเองมาได้นานแสนนาน กับสิ่งที่พยายามไขว่คว้าแต่กลับหลุดลอยไปไม่อาจคืนกลับมา ถึงเวลาจะต้องตัดใจยอมแพ้เสียที
“ผมจะ ไม่เล่นบาสเก็ตบอลอีกต่อไปแล้ว”
TBC
Talk :
ตอนนี้เขียนอิงสปอยเยอะมาก แต่เขียนยังไงก็ไม่ดราม่าเท่าสปอยของจริง เพียงแต่ถ้าไม่เขียนไว้ฟิคก็จะไม่สมบูณ์ ถ้ายังไงก็ขอให้อ่านสปอยเพื่อความดราม่ามากขึ้น(?)แล้วกันนะคะ ;w;
รีบอัพในระหว่างที่อัพได้ ตอนนี้เริ่มทยอยย้ายของไปที่ใหม่แล้วค่ะ แต่เปลี่ยนจาก wordpress เป็น blogspot แทน เพราะรู้สึกว่า blogspot ใช้งานง่ายกว่าเยอะ (ถึงจะไม่มีระบบ tag ก็เถอะ)
มีคนถามเรื่องรวมเล่มมาเยอะ จะรวมตอบให้แล้วกันนะคะ
Q : สรุปฟิคนี้จะมีรวมเล่มทั้งหมดกี่เล่ม?
A : ฟิค Replay จะแบ่งเป็น 2 เล่มค่ะ คือภาคม.ต้นกับภาคม.ปลาย
Q : รวมเล่มแรกจะมีถึงตอนที่เท่าไหร่
A : เล่มแรกจะมีถึงตอนจบม.ต้น ซึ่งก็คือตอนหน้าแล้วค่ะ ดังนั้นเล่มแรกจะรวมทั้งหมด 37 ตอน บวกกับตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่มถ้าทำทันอีกสองตอนค่ะ
Q : รวมเล่มราคาเท่าไหร่
A : ตอนนี้ยังเขียนไม่จบเลยไม่รู้จำนวนหน้าที่แน่นอน แต่คาดว่าจะไม่เกิน 400 หน้า ดังนั้นราคาน่าจะประมาณ 350 บาทบวกลบนิดหน่อยค่ะ
Q : Comic Avenue จัดที่ไหน
A : งาน Comic Avenue วันที่ 20 ตุลาคม จัดที่แหล่งสมาคมนายทหารฯ บริเวณสนามเป้าค่ะ ถ้านั่ง BTS มาสามารถลงสถานีสนามเป้าแล้วก็ถึงเลย ใกล้มากๆ
Q : นอกจากขายในงานแล้วมีทางไปรษณีย์ด้วยรึเปล่า
A : จะมีเปิดขายทางไปรษณีย์หลังจากจบงานแล้วค่ะ (แต่อาจจะเปิดให้จองก่อนหน้านั้นเพื่อนับจำนวนพิมพ์ค่ะ)
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่าา ^^
สงสารโอกิวาระ เเละคุโระโกะจังค่ะ TTwTT
ReplyDeleteสู้ๆนะค่ะ ติดตายเเละเป็นกำลังใจให้อยู่ค่า XD
ฮืออออออออออออออออออออออ
ReplyDeleteอ่านตอนนี้จบแล้วอยากแบน(ว่าที่)พระเอกทุกคนในเรื่องเลยค่ะ! TT[]TT!!
ทำไมต้องปล่อยให้คุโระจังร้องไห้เสียใจด้วยความผิดหวังคนเดียวแบบนั้น!! #ถึงคุโระจังร้องไห้จะโมเอ้ก็เถอะ
ยิ่งอ่านฟิคยิ่งอินกับสปอยค่ะ ดูๆแล้วเหมือนอาคาชิคุงพร้อมจะขังน้องดำไว้ในกรงได้ตลอดเวลา แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้นเพราะเหตุผลอะไรสักอย่างเลยค่ะ ;w; #เหตุผลหลักสงสัยทำแล้วแดงดำจะเข้าวิน *โดนโบก*
ปล.ถึงจะงงๆบ้าง แต่ก็หาทางเข้าบล็อกสปอตได้แล้วล่ะค่ะ (ฮา)
ปลล.ดีใจไม่เจอ bad gateway #เอ็กซ์ทีนร้องไห้ทำไม
ปลลล.คอมเม้นเว้นวรรคเยอะนี่รกไปรึเปล่าคะ TwT