Friday, August 16, 2013

[KnB Fic] Replay - Chapter 16 [Aomine*Kuroko]




Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring :  Aomine x Kuroko 
Rating : PG-13 



Link : 01 / 02 / 03 / 04 / 05 / 06 / 07 / 08 / 09 / 10 / 11 / 12 / 13 / 14 / 15



16
สำหรับชมรมบาสเก็ตบอลเทย์โควที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่าร้อยคนแล้ว การมีคนยื่นใบลาออกหรือการเห็นเพื่อนที่เล่นบาสด้วยกันหายหน้าไปก็ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนได้ประสบพบกันจนชินตา สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเลื่อนขั้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถอดใจไปไม่น้อยนั่นเอง


หากแต่การที่ผู้เล่นทีมหนึ่งซึ่งมีโอกาสได้ลงสนามในฐานะตัวจริงมาก่อนลาออกไปพร้อมๆกันสามคนเลยนั้นถือเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง


ดังนั้นสิ่งที่คนทั่วไปได้ยินในเช้าวันรุ่งขึ้นจึงไม่ใช่เสียงเดาะลูกบาสหรือเสียงรองเท้ากีฬาเสียดสีกับพื้นสนามเช่นทุกวัน แต่เป็นเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ที่ดังไปทั่วโรงยิม เมื่อทุกคนต่างคาดเดาถึงสาเหตุการลาออกอันน่าสงสัยนี้กันไปต่างๆนานา ตั้งแต่เหตุผลธรรมดาอย่างอาการบาดเจ็บที่รักษาไม่หายไปจนถึงสาเหตุพิสดารอย่างการโดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปล้างสมองอะไรทำนองนั้น


“คุยอะไรกันนักหนา ไม่ไปซ้อมกันรึไง” เสียงโค้ชวัยกลางคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับกัปตันทีมคนปัจจุบันทำให้เสียงจอแจราวกับนกกระจอกแตกรังเงียบไปได้อย่างน่าอัศจรรย์


ทุกสายตาในนั้นจ้องมองไปยังร่างของบุคคลทั้งสอง ถ้าจะมีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นโค้ชหรือกัปตันนี่แหละ


แต่กระนั้นกลับไม่มีใครเลยที่พร้อมจะเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยปากถามในสิ่งที่คนทั้งโรงยิมพร้อมใจกันอยากรู้ บางคนก็ดันหลังเพื่อนตนให้ออกไปจนแทบจะเกิดสงครามแย่งพื้นที่ด้านหลังคนอื่นเพื่อหลบภัยกันอยู่แล้ว


“ยังไม่ไปกันอีก ถ้าว่างมากนักจะให้เพิ่มตารางฝึกเป็นสองเท่าเลยดีมั้ย” สิ้นคำนั้นเหล่าเด็กหนุ่มผู้อยู่ในความสงสัยก็พลันหมดคำถามไปในทันใด แล้วรีบแยกย้ายกันไปฝึกซ้อมตามโปรแกรมของตัวเองแทบไม่ทัน


ชายวัยกลางคนหันมามองเด็กหนุ่มผมแดงที่ยืนอยู่ข้างตนอีกครั้ง “สมาชิกหายไปพร้อมกันหลายคนแบบนี้ ไม่แปลกที่จะน่าสงสัย แถมยังทำให้เรามีตัวผู้เล่นที่ใช้ได้น้อยลงไปอีก”


“ถึงจะมีเยอะไป ถ้าใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงมือถ่วงเท้าเปล่าๆ ไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ” อาคาชิพูดกับผู้สูงวัยกว่าด้วยถ้อยคำที่ยังคงความสุภาพ







“ถ้าเรื่องเจ้าพวกนั้นล่ะก็ เลิกคิดมากได้แล้วน่ะ” อาโอมิเนะโยนผ้าขนหนูลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ทำหน้าราวกับอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ได้ยินข่าวเรื่องการลาออกของรุ่นพี่ชมรมทั้งสาม  สำหรับคนอื่นนั้นสีหน้าของคุโรโกะ เท็ตสึยะอาจจะยังดูเย็นชาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แต่กับอาโอมิเนะแล้วแค่จังหวะการเล่นที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างกวนใจคู่หูของตนอยู่


และสาเหตุก็คงไม่พ้นไปจากเรื่องที่โจษจันกันหนาหูอยู่ทั่วชมรมในเวลานี้


“ก็แค่คิดนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ” คุโรโกะถอนหายใจ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วพยายามยิ้มให้ร่างสูงกว่าอย่างฝืดฝืน


อาโอมิเนะมองสีหน้าอีกฝ่ายอย่างขัดใจ คนอย่างเท็ตสึ ไม่ควรจะต้องมากังวลใจเพราะเรื่องคนที่เอาแต่อิจฉาคนอื่นไปวันๆแบบนี้เลย ใบหน้าน่ารักนั้นก็ไม่ควรจะต้องมีความหมองเศร้าปรากฏอยู่เลยซักนิด


“เจ้าบ้า เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย เลิกโทษตัวเองได้แล้ว!” มือใหญ่จับผ้าขนหนูขยี้ไปมาบนเรือนผมนุ่มฟูจนยุ่งเหยิงเข้าไปอีก หากแต่คุโรโกะก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก


เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามปลอบใจในแบบของตัวเอง ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีนักก็เถอะ


“อาโอมิเนะคุงนิสัยไม่ดีเลยครับ” ทำไมคุณชอบอ่านใจผมได้อยู่เรื่อย


ในตอนนี้ ถ้าจะมีใครที่รู้ใจเขาดีที่สุดก็คงจะมีแต่อาโอมิเนะ ไดกิผู้นี้ ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ภายใต้หน้ากากเรียบเฉยได้อย่างเก่งกาจแล้ว หากแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกผิดหวัง กังวลใจ หรือซึมเศร้า เด็กหนุ่มผิวแทนกลับสามารถล่วงรู้ได้อย่างง่ายดาย


และก็เป็นคนๆนี้ที่มักจะอยู่เคียงข้างเพื่อปลอบใจเขาอยู่เสมอ


แต่ก็นั่นแหละ กับบางเรื่องและในบางที คนๆนี้ก็กลับซื่อบื้อได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนเกือบจะสงสัยว่าในหัวมีแต่ลูกบาสเก็ตบอลอัดอยู่เต็มไปหมดแล้วหรือเปล่า


กระนั้นสิ่งที่คุโรโกะหารู้ไม่คือ  อีกฝ่ายเองก็เคยคิดแบบนั้นกับการกระทำของเขานับครั้งไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน


เพราะถ้าจะมีใครที่รู้จักอาโอมิเนะ ไดกิดีนอกเหนือไปจากโมโมอิที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กแล้วล่ะก็ คงมีเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็กที่แทบจะไม่เป็นที่สังเกตของใครๆแต่กลับคอยสังเกตคนอื่นอยู่ตลอดเวลาคนนี้กระมัง







ใช่ว่าจะมีแต่การจากไปของสมาชิกเพียงอย่างเดียวที่สร้างความฮือฮาให้กับชมรมบาสเก็ตบอลเทย์โควแห่งนี้ได้ การเข้ามาร่วมทีมของสมาชิกใหม่ก็เรียกความสนใจได้ไม่แพ้กัน


โดยปกติการรับสมาชิกจะเกิดขึ้นในช่วงหลังเปิดเรียนไม่นาน จึงมีไม่บ่อยนักที่จะมีคนมาสมัครเข้าชมรมในช่วงกลางเทอมเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่สมัครเข้ามาเป็นนักเรียนปีสองยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้


แต่สำหรับทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ







“เอ่อ อาโอมิเนะคุง นั่นมันอะไรเหรอครับ” คุโรโกะถามพลางชี้ไปยังสิ่งมีชีวิตที่เปล่งออร่าวิ้งวับอยู่บริเวณทางเข้า พร้อมทั้งกองทัพแฟนคลับที่แอบดูส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอยู่ด้านหลังไม่ไกล นัยน์ตาสีทองจับจ้องมาที่ร่างของเอสแห่งเทย์โควไม่วางตาตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้ามาในโรงยิมเป็นครั้งแรกในตอนเช้าวันนี้


“อ๋อ หมอนั่นก็..คิเสะไงล่ะ เห็นว่าเพิ่งเข้าชมรมมาเมื่อวานน่ะ” เด็กหนุ่มร่างสูงหันไปตามรังสีปิ๊งๆที่รู้สึกได้ก่อนจะนึกอยู่ครู่นึง


“เรื่องนั้นผมรู้ครับ แต่ผมหมายถึงว่า ทำไมเขาถึงเอาแต่มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อกี้.. คุณคงไม่ได้ไปทำอะไรเขาไว้หรอกใช่มั้ยครับ?” เขาถามเพราะเขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยเจอคิเสะคุงคนนี้มาก่อน ถ้าจะมีเหตุผลอะไรให้เด็กหนุ่มผมทองติดใจได้ขนาดนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายเป็นคนทำไว้แน่


“หา? ฉันไม่ได้ทำอะไรซักหน่อยนะ!” คนมีชนักปักหลังรีบโวยวายแก้ตัวเป็นการใหญ่ อันที่จริงแค่บังเอิญทำบอลหลุดมือแล้วมันก็บังเอิญไปโดนหัวทองๆของนายแบบหนุ่มที่เดินผ่านมาพอดีก็เท่านั้น ที่โดนกระแทกก็ไม่ได้แรงมาก แถมยังไม่ได้ไปโดนใบหน้าราคาแพงของเจ้าตัวซักหน่อย คงไม่มีใครบ้าพอถึงขนาดสมัครเข้าชมรมมาหาทางแก้แค้นเรื่องแค่นั้นหรอกมั้ง?


“.....แปลว่าทำจริงๆสินะครับ” นัยน์ตาสีฟ้าใสหรี่มองคนร้อนตัว อันที่จริงมันก็คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรในเมื่อสายตาที่ฝ่ายนั้นมองมามันแสดงถึงความชื่นชมเสียมากกว่าจะแค้นเคือง แต่อาโอมิเนะดูจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนั้น แล้วท่าทางลนลานนั่นก็ดูตลกดีจนเขาอดแกล้งอีกฝ่ายไม่ได้


“เฮ้ย ก็บอกแล้วไงล่ะว่าเปล่าน่ะ!” อาโอมิเนะหลบตาให้พ้นจากคนช่างสังเกต ทำให้ไม่ทันเห็นว่าริมฝีปากนั้นมีรอยยิ้มขบขันจางๆประดับอยู่


ไม่นานการฝึกซ้อมรอบเช้าก็เริ่มขึ้น เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมทองที่โดนลากไปฝึกยังโรงยิมของทีมสาม ความสนุกของคุโรโกะ เท็ตสึยะเลยต้องจบลง หารู้ไม่ว่าตัวตนของคิเสะ เรียวตะที่พวกเขาพูดถึงกันอยู่นี้ในเวลาไม่นานจะส่งผลต่อความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเขาทั้งคู่






“หิวเป็นบ้า” เด็กหนุ่มร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวพร้อมทั้งวางถาดใส่อาหารที่เพิ่งซื้อมาบนโต๊ะ ก่อนจะเหลือบไปเห็นปริมาณข้าวกลางวันที่เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้จับจองที่นั่งฝั่งตรงข้ามถือมาด้วยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องบ่น “นายกินแค่นี้อีกแล้วเรอะ เดี๋ยวตอนเย็นก็หมดแรงตายคาสนามหรอก”


“ร่างกายผมต้องการพลังงานแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ” ร่างเล็กกว่าโต้ คิ้วเรียวสีฟ้าอ่อนกระตุกเล็กน้อยกับถ้อยคำของอีกฝ่าย


“เพราะแบบนี้ไงนายถึงได้ตัวเล็กนักน่ะ” ร่างสูงพูดพร้อมหัวเราะ มือสีแทนเอื้อมข้ามโต๊ะมาขยี้เรือนผมสีฟ้าอ่อนเบาๆ


เป็นอีกครั้งที่คุโรโกะนึกเจ็บใจที่ตัวเองเกิดมาเสียเปรียบด้านความสูงเช่นนี้ เพราะต่อให้เขายืดสุดแขนก็ยังทำอิกไนท์พาสใส่คนที่นั่งหัวเราะร่วนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ไม่ถึงอยู่ดี ครั้นจะใช้กระทืบเท้าใส่ก็ดูจะไม่ดีนักเพราะเดี๋ยวเป็นอะไรไปเล่นบาสไม่ได้ขึ้นมาจะไม่สวย


ยกนี้ชัยชนะจึงตกเป็นของอาโอมิเนะ ไดกิไปเนื่องจากข้อได้เปรียบทางด้านชัยภูมิการรบ


ร่างของคนอีกสามคนที่เพิ่งจะถือถาดอาหารเดินเข้ามาร่วมโต๊ะด้วยหยุดการต่อสู้ยกที่สองก่อนจะทันได้เริ่ม สำหรับมิโดริมะกับมุราซากิบาระนั้นยังไม่ค่อยน่าประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะบางครั้งบางคราวพวกเขาก็จะนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันหรือไปหาอะไรทำหลังซ้อมเสร็จด้วยกันบ้าง แต่กับอาคาชิที่มักจะมีโลกส่วนตัวของตัวเองอยู่เสมอนั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากเลยทีเดียว


ซึ่งนั่นทำให้คุโรโกะรู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มผมแดงผู้นี้ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากคุยกับเขาไม่ก็อาโอมิเนะเป็นแน่


“ขอฉันล่ะ!” ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยปากถามหรือเปิดประเด็น มือหยาบใหญ่ของใครอีกคนก็เอื้อมมาคว้ามีทบอลชิ้นหนึ่งไปจากจานของเด็กหนุ่มร่างเล็กที่สุดในโต๊ะแล้วโยนใส่ปากอย่างสุดแสนจะไร้มารยาท


“เฮ้ย! ไฮซากิ! ถ้าแกหิวนักก็ไปซื้อมาเพิ่มหรือสั่งแบบใหญ่พิเศษสิฟะ อย่ามาขโมยของคนอื่นเค้าทุกวันแบบนี้!!” อาโอมิเนะขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด แค่นี้ของในจานของเท็ตสึก็น้อยยังกับแมวดมแล้วแท้ๆ ยังจะมาโดนเจ้าบ้านี่แย่งไปกินอีก แบบนี้มีหวังครั้งหน้าที่พายุเข้าเขาอาจจะต้องหาอะไรหนักๆมาผูกเอวไว้ไม่ให้เจ้าของร่างบางๆนั่นลอยไปตามลมแน่


“หืออ ต้องให้บอกทุกวันหรือไงว่าที่ฉันขโมยนี่ไม่ใช่เพราะหิว แต่เพราะว่าอาหารที่อยู่ในจานของคนอื่นมันดูน่ากินกว่าก็เท่านั้น” ไฮซากิ โชโงะพูดพลางเลียนิ้วมือที่เปื้อนคราบซอสอย่างไร้ท่าทางสำนึกผิดแถมยังติดจะภาคภูมิใจเสียมากกว่าที่ได้ขโมยสิ่งที่เป็นของคนอื่น


เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะเอาเรื่อง ส่วนคู่กรณีนั้นก็ยังคงท่าทางกวนอารมณ์ไว้ได้อย่างไม่ลดละ บุคคลที่อยู่ใกล้ในบริเวณนั้นราวกับจะเห็นประกายไฟฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆระหว่างสายตาสองคู่ที่จ้องมองกันอยู่นั่น


นัยน์ตาสีแดงอีกคู่หรี่มองพฤติกรรมนั้นของเด็กหนุ่มผมสีเทาอ่อนอยู่เงียบๆอย่างครุ่นคิดหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


“จะว่าไปแล้ว วันนี้มีเด็กปีสองคนนึงเลื่อนขึ้นมาอยู่ทีมหนึ่งด้วย เห็นว่าเพิ่งจะเข้าชมรมมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเอง หมอนั่นก้าวหน้าเร็วยิ่งกว่าพวกเราซะอีกน่ะ” มิโดริมะที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายพูดเปลี่ยนประเด็นเสียก่อนจะเกิดสงครามบนโต๊ะอาหารขึ้น “หมอนั่นชื่อคิเสะ เรียวตะ”


“เอ๋? เออ หมอนั่นฉันรู้จัก เคยเจอกันอยู่ครั้งนึงล่ะมั้ง?” นี่เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่สัปดาห์ที่อาโอมิเนะได้ยินชื่อของคิเสะ จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่มีอะไรดีนักหนาถึงเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วชมรม แม้แต่มิโดริมะเองก็ยังต้องหยิบมาพูดถึงเป็นประเด็นเช่นนี้


หากแต่อาโอมิเนะก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกสนใจเจ้าของชื่อนั้น


“หืมม? คิเสะ เรียวตะงั้นเหรอ?” ไฮซากิพึมพำกับตัวเอง ใบหน้ายังคงแสยะยิ้มตรงมุมปาก


“น่าแปลกที่คนอย่างนายคิดจะจำชื่อใครด้วยนะ” เด็กหนุ่มผมเขียวอดทักขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่ได้


“เปล่านี่ ก็แค่คิดว่าหมอนั่นอาจจะทำได้ดี แต่คิดว่าพวกเราคงเข้ากันไม่ได้ดีเท่าไหร่นักหรอกนะ” สิ้นคำนั้นเด็กหนุ่มผมสีเทาก็จากไปอย่างไม่คิดจะลาหรือกล่าวคำขอบคุณเลยด้วยซ้ำ เล่นเอามิโดริมะถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านกับพฤติกรรมที่เรียกได้ว่าสร้างชื่อเสียให้กับทีมบาสเก็ตบอลเทย์โควได้ไม่แพ้กับชัยชนะเลยทีเดียว


จนกระทั่งลับหลังไฮซากิไป บรรยากาศน่าอึดอัดที่ปกคลุมอยู่จึงค่อยจางลงบ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่หายไปเสียทีเดียว เมื่อมีบุคคลหนึ่งซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดจามาตั้งแต่แรก อีกทั้งยังคงนั่งเฉยแม้เจ้าตัวจะจัดการอาหารหมดไปแล้วก็ตาม


ทั้งที่ตัวเองเป็นคนบอกให้เขากับมุราซากิบาระเดินมานั่งกับพวกคุโรโกะเองแท้ๆ แต่จะแค่มานั่งกินข้าวด้วยกันเฉยๆเองน่ะรึ


ใครก็ตามที่รู้จักอาคาชิ เซย์จูโร่ดีพอเหมือนอย่างที่มิโดริมะเป็นย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเหตุผลเพียงแค่นั้นแน่


ดูเหมือนว่าคุโรโกะเองก็คิดเช่นนั้น ใบหน้าเรียบเฉยหันไปทางกัปตันของพวกเขาอย่างรอคอย


อาคาชิยิ้มมุมปากน้อยๆ ทั้งเท็ตสึยะและชินทาโร่นี่น่าสนุกอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเล่นเกมจ้องตากันต่อไปแบบนี้ เขาจึงเอ่ยปากถึงความต้องการของตัวเองในที่สุด


“อย่างที่ชินทาโร่พูดไปนั่นแหละ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคิเสะจะเลื่อนขึ้นมาซ้อมร่วมกันกับพวกเรา ดังนั้นเท็ตสึยะ ฉันจะให้นายเป็นคนคอยสอนเขา”


“หา!?” เจ้าของเสียงอุทานนั่นไม่ใช่คนที่ได้รับมอบหมายงานหากแต่เป็นมิโดริมะที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในเรื่องอะไรก็ตามที่เขาคิดไว้ว่าอาคาชิจะพูดกับคุโรโกะเป็นแน่ “นายล้อเล่นใช่มั้ยอาคาชิ นายก็รู้ว่าคุโรโกะน่ะ ไม่น่าจะเหมาะกับงานนี้หรอกนะ?”


แม้แต่คุโรโกะเองก็อดเห็นด้วยกับคำพูดของเด็กหนุ่มผมเขียวในครั้งนี้ไม่ได้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสงสัยการตัดสินใจของอาคาชิ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้านี้ที่เคยบอกให้เขาฝึกซ้อมในแบบแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรเพราะในที่สุดแล้วสิ่งที่กัปตันผู้นี้เลือกที่จะทำก็ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ผิดพลาด


หากแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขาเพียงคนเดียว มันยังเกี่ยวกับคนที่ชื่อว่าคิเสะคุงคนนั้นอีก กับคนดังขนาดนั้นใช่ว่าเขาจะไม่รู้ถึงความสามารถในด้านกีฬาของอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อเข้าชมรมบาสเก็ตบอลมาได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ทีมหนึ่งได้อย่างรวดเร็วแบบนี้


การจะให้คนที่ไม่มีทักษะอะไรอย่างเขาเป็นคนคอยสอนน่ะมันจะไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีสักเท่าไหร่หรอกนะ


“อาคาชิคุง ผมคิดว่าถ้าเป็นอาโอมิเนะคุงไม่น่าจะเหมาะสมกว่าเหรอครับ” คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่คุโรโกะจะกล้าแย้งคำพูดของเด็กหนุ่มผมแดงขึ้นมาตรงๆแบบนี้


“เท็ตสึยะ.. ไดกิ อัทสึชิ แล้วก็ชินทาโร่” ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมแดงยังคงรอยยิ้มบางบนเรียวปาก หากแต่รอยยิ้มนั้นไม่ว่าใครที่มองก็ต้องรู้สึกได้ว่ามันช่างเหมือนกับลูกกวาดหอมหวานที่เคลือบไปด้วยยาพิษ “เคยมีครั้งไหนบ้างหรือไงที่การตัดสินใจของฉัน คำพูดของฉันผิดพลาดน่ะ”


ทุกคนบนโต๊ะพร้อมใจกันเงียบ นั่นแสดงถึงการยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้เถียง


อาคาชิเห็นดังนั้นจึงกล่าวต่อ “ใช่แล้ว เพราะฉันที่ได้รับชัยชนะในทุกๆเรื่อง ดังนั้นฉันจึงเป็นผู้ถูกเสมอ พวกนายเพียงแค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”


ร่างโปร่งเก็บถาดให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้น นั่นแสดงถึงการจบบทสนทนาโดยไม่ต้องต่อความใดๆอีก ไม่ทันไรเด็กหนุ่มผมม่วงที่รู้สึกตัวเร็วกว่าคนอื่นหรืออาจจะเพราะขนมที่กินหมดพอดีก็ลุกขึ้นแล้วตามร่างเล็กกว่าไป


มิโดริมะหันไปมองอีกสองคนที่เหลือบนโต๊ะพลางเอานิ้วขยับแว่นอย่างไว้ที “ถ้างั้นก็ เจอกันตอนเย็นนะพวกนาย” พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินจากไปในทิศทางเดียวกับที่อีกสองคนไปเมื่อสักครู่
TBC 

1 comment:

  1. สนุกดีอะ แต่งต่อเรื่อยๆน่ะ รออ่าน

    ReplyDelete