Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
10
วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆมาของการเข้าค่ายเก็บตัวยังคงความเข้มข้นของการฝึกไว้ได้อย่างไม่เสียชื่อ และดูเหมือนว่ากิจกรรมยามดึกอันหลากหลายของบรรดาสมาชิกชมรมจะทำให้โค้ชตัดสินใจเพิ่มโปรแกรมฝึกซ้อมให้มากขึ้น จนเมื่อหมดวันเหล่าเด็กหนุ่มผู้อยู่ในวัยกำลังไฮเปอร์ก็ถึงกับต้องพากันลากสังขารกลับห้องพักอย่างยากลำบากพอๆกัน และกิจกรรมเหล่านั้นก็ต้องเป็นอันล้มเลิกไปในที่สุด
แต่ไม่ว่าการฝึกไหนก็ไม่เท่าโปรแกรมที่เด็กหนุ่มผิวแทนได้รับหลังจากกล้าหือกับโค้ชเมื่อคืนก่อนที่ทำให้โดนฝึกโหดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่สำหรับอาโอมิเนะแล้วนั่นยังไม่แย่เท่ากับการที่มีคนอีกคนหนึ่งมาร่วมแชร์ความโหดแทบรากเลือดของการฝึกนั้นด้วยอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆนั้นเป็นคนที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ตั้งแต่แรก แถมยังเป็นคนที่ไม่เจียมสังขารตัวเองว่าเพิ่งจะเป็นลมไปเมื่อวันก่อนด้วย
“เท็ตสึ ฉันจะบอกอีกครั้ง นายเลิกทำแบบนี้ซะ!” ร่างสูงหันไปตะโกนใส่คนที่กำลังวิ่งตามเขามาห่างๆ
“ไม่ครับ” เสียงตอบกลับแม้จะเหนื่อยอ่อนเพียงใดแต่ก็ยังคงดื้อด้านและไม่ยอมแพ้
“จะดื้อไปถึงเมื่อไหร่”
“คนที่ดื้อคืออาโอมิเนะคุงต่างหาก ผมไม่ได้บอกให้คุณทำแบบนี้ซักหน่อย”
“ฉันจะตัดสินใจด้วยตัวเองมันผิดตรงไหน”
“แต่นี่มันเรื่องของผม ความผิดของผม จะให้คุณรับแทนได้ยังไงครับ”
“ฉันทำเพราะอยากจะทำ ไม่เกี่ยวกับนาย”
“เกี่ยวสิครับ”
“ไม่เกี่ยว”
“งั้นผมก็ทำเพราะอยากทำไม่เกี่ยวกับอาโอมิเนะคุงเหมือนกันครับ”
“เฮ้ย แบบนั้นได้ไง เท็ตสึอย่ามาย้อนกันนะ!”
“สองคนนั่น เถียงกันเป็นเด็กๆเลยนะ” มิโดริมะ ชินทาโร่พูดขึ้นหลังจากเห็นเพื่อนร่วมทีมที่เขายอมรับในฝีมือคนหนึ่งกับคนที่เขายังเคลือบแคลงสงสัยอีกคนหนึ่งถกเถียงกันได้ไม่รู้จักเหนื่อย จะบอกว่าต่างคนต่างเป็นห่วงอีกฝ่ายแต่กลับไม่ยอมละทิฐิใส่กันก็ว่าได้
“หึหึ แบบนั้นสิถึงดี” อาคาชิพูดอย่างมีเลศนัยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสนุกขบขัน และแม้จะยังสงสัยแต่เด็กหนุ่มผมเขียวก็ไม่คิดจะพูดอะไรเพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางอ่านใจคนๆนี้ออกสักทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
กว่าจะหมดวันสองคนที่ว่าก็แทบจะต้องทั้งลากทั้งแบกกันไปจนถึงห้องนอน หรือจะพูดให้ถูกก็คืออาโอมิเนะเป็นฝ่ายหิ้วคุโรโกะที่หมดแรงจนอย่าว่าแต่จะเดินแค่จะยกแขนขึ้นชกเขาอย่างเคยก็แทบไม่ไหว ทำให้ไม่อาจขัดขืนเมื่อถูกอุ้มเดินไปนอนด้วยการพาดไว้บนบ่าราวกับเด็กๆท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมทีมนับสิบและพนักงานโรงแรมอีกไม่รู้เท่าไหร่
“อาโอมิเนะคุง..” ร่างเล็กยังพยายามจะเถียง หากเป็นปกติคงได้มีตีเข่าใส่หน้าท้องแข็งๆนั่นข้อหาทำให้เขาอับอาย แต่เมื่อหมดแรงจะดิ้นจึงได้แต่ทำหน้าไม่พอใจพร้อมส่งสายตาอาฆาตไปให้คนที่อุ้มเขาอยู่แทน
“เงียบไปเลยนายน่ะ!” เสียงทุ้มตวาดฉับแล้วเดินดุ่มๆเข้าห้องไปโดยไม่สนใจอาการประท้วงดังกล่าว เขาวางสัมภาระที่หอบหิ้วมาด้วยลงบนฟูกแล้วล้มตัวลงนอนตาม แขนสีแทนโอบเอวบางภายใต้ยูกาตะไว้ไม่ให้ขยับตัวหนีไปไหน
“อาโอมิเนะคุง ปล่อย ผมหนักครับ” คุโรโกะพยายามยกลำแขนใหญ่ที่พาดทับเขาอยู่ออกแต่ไม่เป็นผล
“นายไม่เถียงฉันสักคำจะตายไหมน่ะ” อาโอมิเนะพูดทั้งที่ตาเริ่มปิด แทนที่จะยกแขนออกเขากลับกระชับร่างบางเข้าหาตัวมากขึ้น
“ถ้าคุณไม่เอาแต่ใจผมก็ไม่ต้องเถียงหรอกครับ” เสียงหวานยังคงโต้กลับอย่างไม่ลดละ
“ไดกิ เท็ตสึยะ” เสียงบุคคลที่สามดังขึ้น ความเยียบเย็นที่สัมผัสได้ในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าคนพูดคงอยู่ในอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก “ถ้าพวกนายยังไม่เงียบ พรุ่งนี้ฉันจะทำให้แน่ใจว่าพวกนายไม่เหลือแรงพอจะเถียงกันแบบนี้อีกแน่”
สิ้นคำนั้นทั้งสองก็พร้อมใจกันปิดปากแน่น หยุดการถกเถียงทุกๆอย่างและหลับตานอนอย่างว่าง่าย
การเข้าค่ายเก็บตัวจบลงพร้อมกับการเริ่มต้นของปีการศึกษาใหม่ ในวันเปิดภาคเรียนเช่นนี้นักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาก็จะถูกบังคับให้เข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศในหอประชุมใหญ่ แต่สำหรับนักเรียนปีอื่นที่ได้เลื่อนชั้นตามปกติก็จะมารวมตัวกันที่หน้าบอร์ดประกาศแบ่งห้องเรียนจนแน่นขนัด เพื่อรอลุ้นว่าในปีนี้จะได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนคนที่ตนสนิทหรือเปล่า
“คนเยอะเป็นบ้า” อาโอมิเนะ ไดกิ ใช้ความตัวสูงให้เป็นประโยชน์ในการชะโงกหน้ามองตัวอักษรบนกระดาษที่แปะไว้ ซึ่งระบุไว้ว่า “ฉันได้อยู่ห้อง B แฮะ”
“งั้นฉันก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับนายสินะ” เสียงเด็กหนุ่มผมเขียวพูดพร้อมกับดันกรอบแว่นขึ้น “น่าเสียดายที่เขาไม่ได้จัดห้องตามลำดับผลการเรียน ฉันเลยต้องติดแหงกอยู่กับนายแบบนี้”
“พูดแบบนี้จะหาเรื่องกันรึไง ห๊ะ!?”
“เปล่า แต่จะบอกว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมให้นายลอกการบ้านแน่ๆ” มิโดริมะพูดจบแล้วก็เดินไปทางตึกเรียน คาดว่าคนขยันอย่างเด็กหนุ่มผมเขียวคนนั้นคงรีบขึ้นไปเตรียมอ่านหนังสือก่อนอาจารย์สอนก็เป็นได้
“อาโอมิเนะคุงอยู่ห้อง B สินะครับ” เสียงทุ้มหวานของบุคคลที่ชอบทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันทำให้ร่างสูงถึงกับสะดุ้งโหยง
“เท็ตสึ!!? ให้ตายสิ อย่าโผล่มาเงียบๆจะได้มั้ย!?” เด็กหนุ่มผิวแทนหันไปโวยลั่นใส่คนที่เกือบทำเขาหัวใจวายตายเมื่อครู่
คุโรโกะยังคงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติหากแต่ในดวงตากลับมีแววขบขันแฝงอยู่
“ขำอะไรรึไง” อาโอมิเนะผู้เริ่มจะพัฒนาความสามารถพิเศษในการอ่านอารมณ์จากใบหน้าเฉยชาของเด็กหนุ่มร่างเล็กได้มากขึ้นทีจากเวลาที่อยู่ร่วมกันมา และครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะอะไรบางอย่างแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ตาม
“แค่คิดว่าไม่ได้เห็นคุณทำท่าตกใจแบบนี้สักพักแล้วนะครับ” ร่างเล็กอธิบาย
“ฉันก็ไม่ได้ทำแบบนี้มาสักพักแล้วเหมือนกัน!” ได้ฟังดังนั้น ริมฝีปากหนาจึงแสยะยิ้มพร้อมกับรวบร่างโปร่งบางมาไว้ใกล้ตัว มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ผมสีฟ้าจนยุ่งเหยิงเป็นการแก้แค้น
“ปล่อยครับ อาโอมิเนะคุง หัวผมยุ่งหมดแล้ว” เด็กหนุ่มพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของคนตัวใหญ่ที่กำลังใช้ศีรษะเขาเป็นที่ระบายอารมณ์อยู่
อาโอมิเนะแกล้งจนพอใจแล้วจึงยอมปล่อยมือออกจากเรือนผมสีฟ้าอ่อนนั้น หากแต่แขนแกร่งยังคงพาดไว้บนบ่าของร่างเล็กต่างที่พักแขนอยู่ “ว่าแต่นายอยู่ห้องไหนล่ะเท็ตสึ?” เขาพยายามชะโงกหน้าดูชื่อของคุโรโกะ เท็ตสึยะจากรายชื่อบนบอร์ดประกาศยาวเหยียด
“ผมอยู่ห้อง A เหมือนเดิมน่ะครับ” คุโรโกะช่วยตอบคำถามนั้นให้ โชคยังดีที่ชื่อของเขาไม่จืดจางเกินไปจนเจ้าหน้าที่ลืมแปะชื่อไว้บนบอร์ดล่ะนะ
“หืมม งั้นเหรอ น่าเสียดายนะที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันน่ะ” ร่างสูงครุ่นคิดแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย เรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแหงนมองใบหน้าที่อยู่สูงกว่านั้นด้วยประกายตามีความหวังที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็น เพราะประโยคต่อไปที่ตามมาคือ “แบบนี้ฉันก็ลอกการบ้านนายไม่ได้น่ะสิ ฮ่าๆ อุ๊บ!”
ฝ่ามือบางทิ่มเข้าที่สีข้างทำให้ต้องเอามือกุมท้องแล้วโอดโอย ก่อนผู้ถูกกระทำจะหันไปหาคนประทุษร้ายซึ่งอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวหลุดจากอ้อมแขนเขาไปได้อย่างสวยงาม “ทำอะไรของนาย เท็ตสึ!”
“ถึงจะอยู่ห้องเดียวกันผมก็ไม่ให้คุณลอกการบ้านหรอกครับ” ร่างบางพูดแล้วหมุนกายเดินหนีเข้าไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย เดี๋ยวสิเท็ตสึ” อาโอมิเนะรีบวิ่งไล่ตามร่างเล็กนั้นไปอย่างไม่เข้าใจ
การเข้าชมรมครั้งแรกหลังจากเปิดภาคเรียนมาพร้อมกับประกาศที่จะหากจะเรียกว่าน่าตกใจก็คงไม่เชิงเสียทีเดียว นั่นคือการเปลี่ยนตัวกัปตันของทีมหนึ่ง เนื่องจากรุ่นพี่ปีสามที่จบไปแล้วทำให้ต้องมีคนมาแทนตำแหน่ง และคนๆนั้นก็คือเด็กหนุ่มผมแดงผู้มีนามว่า อาคาชิ เซย์จูโร่
เด็กหนุ่มผู้ได้เป็นหนึ่งในตัวจริงของทีมหนึ่งแม้จะอยู่แค่ปีแรก ผู้มีความสามารถในการวิเคราะห์และวางแผนเกมได้อย่างเยือกเย็น และทักษะการเล่นในสนาม รวมทั้งความเป็นผู้นำซึ่งหากจะพูดแล้วก็คงไม่มีใครจะเหมาะสมไปกว่าคนผู้นี้อีกแล้ว
ทั้งผู้เล่นปีหนึ่งและปีสองนั้นต่างไม่มีใครมีข้อสงสัย หากแต่ในสายตาของรุ่นพี่ปีสามยังคงมีความไม่พอใจ มันแย่พออยู่แล้วที่ต้องเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับเหล่าเด็กรุ่นน้อง แถมยังต้องตกเป็นเบี้ยล่างคอยรับคำสั่งของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งอายุน้อยกว่าตนถึงหนึ่งปีอีก
แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่เอ่ยปากจะคัดค้าน
การฝึกซ้อมเริ่มต้นด้วยการอบอุ่นร่างกายเบาๆ แล้วตามด้วยการฝึกฝนที่หนักขึ้นเหมือนเช่นปกติ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนตัวกัปตันทีมจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับการฝึกซ้อมของพวกเขาสักเท่าไหร่ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“รวมตัวได้” คำสั่งเรียกรวมหลังจบการฝึกซ้อมในตอนหัวค่ำดังขึ้นจากโค้ช สมาชิกชมรมทุกคนมานั่งรวมกันที่พื้นโรงยิมเพื่อรับฟังการจัดตำแหน่งตัวจริงสำหรับลงสนามในการแข่งอินเตอร์ไฮนัดแรกของปีที่จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า อันประกอบไปด้วย อาโอมิเนะ ไดกิ, มิโดริมะ ชินทาโร่, มุราซากิบาระ อัทสึชิ, ไฮซากิ ชูโง และรุ่นพี่ปีสามอีกหนึ่งคน
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่ออาคาชิเองกลับไม่ได้ลงสนามทั้งที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นไปอยู่ในฐานะกัปตันทีม หากแต่สีหน้าเจ้าตัวกลับดูเยือกเย็นเหมือนเช่นปกติ นัยน์ตาสีแดงเข้มย้ายมาจับจ้องที่ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางหว่างขาของร่างสูงผิวแทนผู้ซึ่งถูกประกาศให้เป็นตัวจริงไปเมื่อครู่ เรียวปากบางมองภาพนั้นแล้วเหยียดยิ้มน้อยๆ
“เท็ตสึยะ นายอยู่ก่อน ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” อาคาชิเอ่ยรั้งร่างเล็กที่กำลังจะวิ่งตามร่างสูงออกไปเพื่อซ้อมพาสลูกต่อกันสองคนหลังจากโค้ชบอกให้พวกเขาเลิกได้สำหรับวันนี้ คุโรโกะทำสีหน้าฉงนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแล้วยอมกลับมาแต่โดยดี
“งั้นฉันไปรอที่เดิมนะ เท็ตสึ” อาโอมิเนะทำท่าเหมือนจะตามมาด้วยหากก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นสายตาเชิงห้ามปรามที่ถูกส่งมาให้จากกัปตันของพวกเขา
“มีอะไรเหรอครับ อาคาชิคุง” ร่างเล็กถามขึ้นเมื่อเหลือเพียงพวกเขาอยู่ในโรงยิมกันเพียงสองคน ซึ่งดูเหมือนว่าอาคาชิเองก็ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นก่อนจะเริ่มพูด
“เท็ตสึยะ ในการแข่งอินเตอร์ไฮนัดหน้า..” เขาเว้นช่วงไปชั่วครู่ ไม่ใช่เพราะลังเลใจในสิ่งที่ตนกำลังจะพูด แต่ดูเหมือนต้องการจะสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาเสียมากกว่า ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ฉันจะให้นายลงแข่งด้วย”
“เจ้าบ้าเท็ตสึ ช้าชะมัด” อาโอมิเนะบ่นเป็นรอบที่สิบ สายตาเหลือบมองข้อมือตัวเองเป็นรอบที่ห้าก่อนจะนึกได้อีกครั้งว่าตอนเล่นบาสเขาจะไม่ใส่นาฬิกา ทำให้ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วหลังจากแยกจากเท็ตสึ ดูจากท้องฟ้าที่มืดแล้วก็คงจะเป็นหลายชั่วโมงแล้วใช่รึเปล่า!?
มือแกร่งเดาะลูกบาสในมือลงพื้นด้วยแรงมากกว่าปกติ และตามหลักฟิสิกส์ที่อาโอมิเนะไม่ได้สนใจจะเรียนเท่าไหร่นั้นกล่าวไว้ว่าแรงกิริยามีค่าเท่ากับแรงปฏิกิริยาจึงทำให้ลูกบาสที่ว่านั้นเด้งกลับขึ้นมาชนปลายคางของตนด้วยความรุนแรงพอกัน
“อูยย..” มือกุมคางที่โดนกระทบไว้ด้วยความเจ็บ โทษอะไรไม่ได้นอกจากความงี่เง่าของตัวเอง บางทีเขาอาจจะโทษเท็ตสึ เพราะอีกฝ่ายที่มาช้ากว่าปกติทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดเพราะความหิว และมันควรจะได้เวลาไปกินมาจิเบอร์เกอร์กันแล้วไม่ใช่หรือ
เสียงประตูเหล็กเปิดขึ้นทำให้เขาหันไปมองทันที คาดหวังว่าจะเห็นร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้ายืนอยู่ตรงทางเข้าด้วยท่าทางสำนึกผิดที่ทำให้เขาต้องรอนานหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่เขาเห็นกลับเป็นร่างเงากับเรือนผมสีฟ้าที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับรถไฟหัวกระสุนโผตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของเขาที่อ้ารอรับอีกฝ่ายไว้ได้ทันพอดี
อารามตกใจทำให้อาโอมิเนะพูดอะไรไม่ออก ความเจ็บที่ปลายคางถูกลืมเลือนไปสิ้น เพราะแม้เขาจะเคยกอดเท็ตสึไว้ในอ้อมแขนแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาเองเช่นนี้ จึงได้แต่โอบกอดร่างบางนั้นไว้แนบอกกับความรู้สึกที่ว่าร่างกายของเท็ตสึนั้นช่างพอเหมาะพอดีในอ้อมแขนคู่นี้มากแค่ไหน
“อาโอมิเนะคุง..” คุโรโกะผละออก ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นได้ว่าใบหน้าเฉยชานั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างแม้จะชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อราวกับเจ้าตัวเพิ่งจะวิ่งสี่คูณร้อยเมตรมาหมาดๆก็ตาม น้ำเสียงปนหอบประกอบกับคนพูดที่ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยทำให้ประโยคหลังจากนั้นฟังแทบจะไม่ต่อเนื่อง “ผม.. นัดหน้า อาคาชิคุง บอกว่า ผมจะได้แข่ง ในสนาม กับอาโอมิเนะคุง ผม”
“โว้ว เท็ตสึ ใจเย็นๆ ช้าๆ ค่อยๆพูดก็ได้” อาโอมิเนะปรามคนในอ้อมแขนให้สงบลง ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆสองสามครั้งเพื่อรวบรวมคำพูด รอยยิ้มกว้างนั้นยังไม่จางหายไปเช่นเดียวกับเสียงหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะที่ยังคงรู้สึกได้จากบริเวณที่สัมผัสกันอยู่
“อาโอมิเนะคุง การแข่งอินเตอร์ไฮนัดหน้าผมจะได้ลงสนามด้วยครับ!” คุโรโกะพูดรวดเดียวจบโดยไม่เว้นจังหวะหายใจ
“จริงเรอะ!? ยอดไปเลยเท็ตสึ นายทำสำเร็จแล้วนะ!” แขนแกร่งอุ้มร่างเล็กขึ้นจนตัวลอยอีกครั้งด้วยความยินดี “ไปหาอะไรกินฉลองกันดีกว่า ฉันรอนายจนหิวไปหมดแล้วเนี่ย”
“หิวอะไรกันครับ ยังไม่ทุ่มนึงเลย” อีกฝ่ายทัก ทำให้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าจริงๆแล้วเวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนับจากที่แยกกัน ดูเหมือนวันนี้การรับรู้ด้านเวลาของเขาจะผิดปกติจนคิดว่านาฬิกาเดินเร็วกว่าที่ควรก็เป็นได้
“วะ..วันนี้ฉันหิวเร็วกว่าปกติแล้วไงล่ะ ไปเถอะน่ะ” อาโอมิเนะแก้ตัว เขารีบปล่อยร่างเล็กลงพื้นแล้วเบือนหน้าหนีเมื่อรู้สึกได้ว่าแก้มเริ่มร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ แขนแกร่งเลื่อนไปพาดไว้บนไหล่บางแล้วนำทางออกไปจากโรงยิมแทน
“ครับๆ แบบนี้แปลว่าอาโอมิเนะคุงจะเลี้ยงผมใช่รึเปล่า” น้ำเสียงยังคงสดใส และใบหน้าอ่อนวัยยังคงประดับด้วยรอยยิ้มราวกับเด็กๆ
“ฉันบอกตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ เจ้าบ้านี่”
“ก็คุณบอกจะฉลองนี่ครับ”
“งั้นนายก็ต้องเลี้ยงฉันโทษฐานมาช้าเหมือนกัน”
“แบบนั้นไม่ยุติธรรมนี่ครับ อาโอมิเนะคุงกินมากกว่าผมตั้งเยอะ”
“ช่วยไม่ได้นี่ นายก็กินให้มันเยอะๆบ้างสิ”
“ผมก็กินเท่านี้มาตั้งนานแล้ว จะให้กระเพาะขยายกันง่ายๆได้ยังไงล่ะครับ”
“เพราะงั้นนายถึงตัวเล็กแบบนี้ไงล่ะ”
“ผมไม่ได้ตัวเล็กซักหน่อยครับ อาโอมิเนะคุงตัวโตเกินไปต่างหาก”
แม้จะยังมีเสียงถกเถียงกันไปตลอดทาง แต่จากสีหน้าของคนทั้งคู่นั้นไม่ได้บอกถึงความโกรธเคืองกันเลยแม้แต่น้อย และจากท่าทางที่แสดงออกเมื่อร่างสูงกว่ายกมือขึ้นโอบไหล่อย่างใกล้ชิด สายตาจับจ้องเพียงร่างเล็กที่เดินอยู่เคียงกาย ส่วนใบหน้าใสแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆเมื่อมองใบหน้าคมเข้มนั้น เสียงหัวเราะที่ดังไปตลอดทาง คงไม่ยากที่จะบอกว่าต่างฝ่ายมีความสุขกับการได้เดินเคียงข้างกันแบบนี้แค่ไหน
TBC
No comments:
Post a Comment