Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
12
เสียงนาฬิกาปลุกให้ร่างบนเตียงงัวเงียตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตสีฟ้าค่อยๆปรือเปิดแล้วก็ต้องปิดลงเมื่อแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่างพุ่งเข้าแยงตาพอดิบพอดีอย่างไม่น่าให้อภัย
“อือ..” เสียงครางพร้อมกับอาการกลิ้งไปมาบนเตียงอีกสองสามตลบสื่อให้เห็นว่าเจ้าตัวยังไม่ค่อยอยากพรากจากความอบอุ่นของที่นอนสักเท่าไหร่ แต่ด้วยภาระหน้าที่และคำสั่งอันเป็นเด็ดขาดของกัปตันทีมผู้ซึ่งไม่มีใครกล้าจะขัดทำให้ต้องแงะตัวเองออกจากผ้าห่มในที่สุด
เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องที่คุ้นเคยเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เผลอไปนอนหลับที่ห้องคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เพราะหลังจากแข่งเสร็จเมื่อวานเรี่ยวแรงที่พลันดูจะหายไปพร้อมกับความตื่นเต้นนั้นทำให้เกือบจะลากสังขารกลับมาบ้านไม่ไหว จนต้องรบกวนแกมถูกบังคับให้คนที่ดูจะมีแรงเหลือทั้งที่ลงแข่งตลอด 40 นาทีมาส่งแทน
และจากการที่ภายในห้องไม่มีอีกหนึ่งศพของคนที่มาส่งนอนหลับอยู่ตรงไหนบนพื้นแสดงว่าเจ้าตัวคงจะกลับบ้านไปอย่างสวัสดิภาพแล้ว
แต่กระนั้นเมื่อก้มลงสำรวจสภาพของตัวเองกลับพบว่าเขายังอยู่ในชุดวอร์มสีขาวตัวเดียวกันกับที่ใส่ไปแข่งเมื่อวานไม่มีผิด แม้ข้างในจะเปลี่ยนชุดแข่งที่ชุ่มเหงื่อนั้นออกไปแล้วตั้งแต่ที่ห้องล็อกเกอร์ก็เถอะ
คุโรโกะสะลึมสะลือเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพยายามจัดผมสีฟ้าอ่อนให้ยุ่งเหยิงน้อยลงกว่าเดิม เสร็จแล้วจึงเดินลงมาข้างล่างสำรวจตู้เย็นหาอะไรง่ายๆกินรองท้องอย่างรวดเร็วแล้วเตรียมตัวออกจากบ้าน
“พี่เท็ตสึยะ!” เสียงใสดังมาจากบนชั้นสอง ตามด้วยเสียงตึงตังของคนที่กำลังวิ่งลงบันไดอย่างเร่งรีบ แล้วร่างเล็กของเด็กชายวัย 10 ขวบก็ลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาในเวลาเพียงไม่ถึงห้าวินาที
“อิคุมิคุง วิ่งลงบันไดแบบนั้นเดี๋ยวก็หกล้มหรอกครับ” คนเป็นพี่หันไปทันเวลากับที่ร่างเล็กนั้นพุ่งเข้ากอดเอวพอดิบพอดี มือเลื่อนไปลูบเรือนผมสีฟ้าที่ยุ่งเหยิงพอๆกับตนแล้วอดสังเกตไม่ได้ว่าน้องชายคนเดียวของเขา เหมือนจะสูงขึ้น..?
“ก็พี่เท็ตสึยะจะไปเงียบๆอีกแล้วนี่นา” ร่างเล็กพองลมใส่แก้มใสๆนั่นอย่างน่าเอ็นดู แบบที่เจ้าตัวคงจะคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วว่าท่าทางนี้ทำให้พี่ชายที่รักใจอ่อนแล้วยิ้มบางออกมาได้
“พี่แค่จะไปซ้อมเช้าเหมือนทุกๆวันนี่ครับ” เด็กหนุ่มอธิบาย
“งั้นพี่เท็ตสึยะก็ต้องอย่าลืมทำเหมือนทุกๆวันด้วยสิ” เด็กชายพูดแล้วหันข้างให้พร้อมกับเอานิ้วชี้แก้มป่องๆของตัวเองข้างนึงเป็นสัญญาณบุ้ยใบ้ว่าให้จัดการเผด็จศึกแก้มข้างนั้นซะ
คุโรโกะส่ายหัวน้อยๆกับความเอาแต่ใจของน้องชาย แต่กระนั้นเขาก็ยอมใจอ่อนแล้วก้มลงหอมแก้มใสไปทีนึง อิคุมิหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกว่ามันจั๊กจี้หน่อยๆ
“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพอใจแล้วเขาจึงบอกลาแล้วออกจากบ้านไป แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูรั้วบ้านดีก็ปะเข้ากับร่างสูงผิวแทนผู้เพิ่งจะแยกจากกันไปไม่ถึงครึ่งวันดีเสียก่อน
“โย่ว เท็ตสึ” อาโอมิเนะเป็นฝ่ายเอ่ยทักคนที่เหมือนจะกำลังยืนอึ้งอยู่ก่อน เป็นเพราะถึงจะเคยไปโรงเรียนด้วยกันเมื่อตอนที่มาค้างช่วงสอบ แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงนั้นอย่างมากก็แค่เจอกันบนรถไฟหรือไม่ก็ระหว่างทาง ไม่เคยซักครั้งที่อีกฝ่ายจะมารับเขาถึงบ้านแบบนี้
“อาโอมิเนะคุง มาได้ยังไงน่ะครับ” ร่างเล็กกว่าถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงถึงความประหลาดใจเหมือนใจความในประโยคคำถามนั้นเลยแม้แต่นิด มีเพียงคิ้วเรียวที่เลิกขึ้นเล็กน้อยจนถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นชินกันอยู่ก็ไม่มีทางจะสังเกตเห็นได้
“อาคาชิบอกให้ฉันมารับนาย” เป็นคำตอบที่ยิ่งทวีความแปลกใจให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อยนี่ครับทำไมต้องมารับด้วย?”
ร่างสูงยักไหล่เป็นภาษากายที่บ่งบอกว่าคนถูกใช้ให้มาเองก็ท่าทางจะไม่รู้สาเหตุเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงป่วยการที่จะซักต่อ
คุโรโกะก้าวไปเดินข้างๆอาโอมิเนะ แต่แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ยืนนิ่งไม่ยอมออกเดินซะอย่างนั้น
“นี่ เท็ตสึ” ร่างสูงเรียกพร้อมดึงมือเขาให้หันไปหา
“ไม่หอมแก้มฉันบ้างล่ะ” ว่าแล้วหันข้างยื่นแก้มตัวเองมาให้พร้อมเอานิ้วชี้ๆ เลียนแบบอาการน้องชายคนเล็กของเขาที่เพิ่งบอกลาไปไม่ผิดเพี้ยน ติดก็แต่คนทำเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่เกือบ 180 เซนต์ที่ดูยังไงก็ไม่มีทางจะน่ารักเหมือนเด็กชายตัวเล็กๆไปได้
การที่เด็กหนุ่มผมฟ้าสามารถคงอาการเฉยชาไว้บนใบหน้าได้คงเป็นความลับของจักรวาลอย่างหนึ่งที่ใครก็ยากจะหยั่งรู้ได้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าเป็นคนปกติคงจะชักสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกหรือไม่ก็ขย้อนของเก่าลงข้างทางไปแล้ว
“คุณเป็นเด็กประถมหรือไงครับ” คุโรโกะพูดออกมาหลังจากนิ่งไปสักพักเหมือนกำลังประมวลผลความไม่น่าเป็นไปได้ของสถานการณ์อยู่
คนถูกปล่อยให้ยื่นแก้มเก้อหันมาทำหน้าไม่พอใจใส่ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเอ่ยรับด้วยเสียงอ่อนๆแทน “อ่า จริงด้วยสิ”
น่าแปลกที่ครั้งนี้อีกฝ่ายยอมรับง่ายๆทั้งที่ปกติเวลาจะเถียงกันสามวันยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อใบหน้าที่ยังเง้างอนอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างที่เขาคิดเอาเองว่าไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุด
“งั้นแบบนี้แทนละกัน” พูดจบร่างสูงก็โน้มตัวลงมาแล้วจูบลงไปบนริมฝีปากบางแทนซะอย่างนั้น
ก็ไม่รู้ทำไมจู่ๆถึงอยากจะทำแบบนี้ขึ้นมาหรอกนะ เพียงแต่บังเอิญไปเห็นเจ้าเปี๊ยกจอมยุ่งที่กำลังเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนสนิทของเขาก่อนออกจากบ้านก็เท่านั้น แล้วการที่พี่น้องจะแสดงความรักต่อกันมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง เพียงแต่ว่าพอร่างบางก้มลงไปหอมแก้มเล็กๆนั่น ทำไมเขาต้องรู้สึกเหมือนกับเด็กที่โดนแย่งของเล่นไปได้ก็ไม่รู้
ทั้งที่ตอนแรกจะให้แค่หอมแก้ม แล้วที่จูบนี่ก็แค่ตั้งใจจะจูบเร็วๆเป็นการแกล้งคืนที่อีกฝ่ายทำเขาเก้อบ้างก็เท่านั้น แต่พอได้ลิ้มรสความหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของเท็ตสึก็ทำให้เขาอดใจแนบริมฝีปากลงไปเพื่อจูบล้ำลึกขึ้นไม่ได้ มือใหญ่เอื้อมไปหมายรวบเอวบางมาแนบชิดเพื่อจะตักตวงให้ได้มากขึ้นแต่แล้วกำปั้นอันคุ้นเคยที่เพิ่มความแรงยิ่งกว่าเดิมก็ขัดจังหวะไว้ได้เสียก่อน
คุโรโกะ เท็ตสึยะตัดสินใจทำอิกไนต์พาสที่เพิ่งจะคิดค้นได้ไม่นานใส่เป้าหมายที่ไม่ใช่ลูกบาสเป็นครั้งแรก เพื่อหยุดยั้งการกระทำอันอุกอาจของคู่หูผู้อาจจะไม่รู้จักคำว่าละอายฟ้าดินกับเขาบ้าง
“แค่ก!” ต่อให้มีกล้ามเนื้อท้องแข็งๆที่ฝึกมาเป็นอย่างดีก็คงไม่สามารถรับแรงกระแทกนั้นโดยสวัสดิภาพได้ ร่างสูงงอตัวกระอักไอออกมาด้วยความจุก “เจ้าบ้าเท็ตสึ!”
“สมน้ำหน้าครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าพูดอย่างไม่คิดสงสารคนที่ถูกทำร้ายด้วยฝีมือตนเลยซักนิด แล้วหันหลังเดินจ้ำอ้าวหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก็ยังทันสังเกตเห็นได้ว่าใบหูขาวๆนั้นกลายเป็นสีชมพูอย่างปิดไม่มิด
อาโอมิเนะยิ้มให้กับตัวเองแล้วรีบไล่ตามร่างเล็กกว่าไป
เย็นวันนั้นอาคาชิก็สั่งให้อาโอมิเนะไปส่งคุโรโกะที่บ้านอีก โดยที่ยังไม่ยอมอธิบายอะไรเหมือนเคย
สำหรับอาโอมิเนะแล้วนั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องลำบากอะไรมากมาย เพราะทุกวันหลังเลิกซ้อมพวกเขาก็จะกลับบ้านพร้อมกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางทีก็จะแวะไปหาของกินกันที่ร้านสะดวกซื้อหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดระหว่างทางไปด้วย ที่เพิ่มมาก็แค่เดินอ้อมไปส่งเท็ตสึที่หน้าบ้านก่อนก็เท่านั้น
ตอนเช้าเขาก็แวะไปรับที่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าจะขโมยจูบในที่สาธารณะอีกเป็นครั้งที่สองเนื่องจากยังจำสัมผัสของกำปั้นที่ฝากไว้ได้อยู่ฝังใจ
“หืม? มีอะไรรึเปล่าเท็ตสึ” เขาถามขึ้นในวันต่อมาระหว่างกำลังเดินทางกลับบ้าน เมื่อเห็นร่างเล็กชะงักไปและเหมือนจะเหลียวหลังมองอะไรซักอย่าง
“เปล่าครับ...ไม่มีอะไร” คุโรโกะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเคย แต่ปลายคิ้วเรียวนั้นกลับขมวดมุ่นน้อยๆราวกับกำลังใช้ความคิด อาโอมิเนะหันไปตามทางที่นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องอยู่เมื่อครู่ เมื่อไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติก็ปล่อยไปโดยไม่ได้คิดอะไร
ในห้องที่ปิดไฟมืดเหลือเพียงโคมไฟโต๊ะทำงานที่ส่องสว่างเพียงอย่างเดียว ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผมสีแดงผู้ครองตำแหน่งกัปตันทีมบาสเก็ตบอลเทย์โควกำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารของชมรมอย่างมีสมาธิ นัยน์ตาสีเดียวกับเรือนผมกวาดมองรายชื่อสมาชิกกับแผนผังการวางตัวผู้เล่นในการแข่งขันสลับกันไปมา ข้อมูลมากมายกองเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
เนื่องจากในตอนเย็นโรงยิมถูกใช้ในการเตรียมงานสำคัญบางอย่างของโรงเรียน ทำให้การซ้อมวันนี้ต้องโดนงดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และในเวลานี้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้จัดงานกลับไปกันหมดแล้วทำให้บรรยากาศเหลือแต่ความเงียบ และเขาเองก็ชื่นชอบความเงียบสงบนี้
แต่แล้วความสงบนั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแง้มประตูดังเอี๊ยดอ๊าด
เด็กหนุ่มเหลือบนัยน์ตาขึ้นมองผู้เข้ามารบกวนเล็กน้อยอย่างไม่คิดจะให้ความสนใจมากเท่าไหร่ และเขาคงจะกลับไปตั้งสมาธิทำงานต่อได้หากว่าคนที่อยู่หลังประตูนั้นจะไม่ใช่ร่างสูงผิวแทนเจ้าของตำแหน่งเอสประจำทีม และถ้าเขาคนนั้นไม่ได้เดินมาเพียงลำพังคนเดียวล่ะก็
“ไดกิ นายมาทำอะไรที่นี่” อาคาชิเรียกให้อีกฝ่ายหันมา อาโอมิเนะทำท่าเหมือนประหลาดใจที่ไม่เจอใครอยู่นอกจากเขา บางทีเจ้าบื้อนี่อาจจะลืมไปแล้วว่าวันนี้ไม่มีซ้อม
“อ่า อาคาชิ เห็นเท็ตสึรึเปล่า?” อาโอมิเนะหันมาถามถึงคู่หูร่างเล็กของตน หากแต่คำถามนั้นยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่กวนใจอีกฝ่ายอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“เท็ตสึยะไม่ได้อยู่กับนายหรอกหรือ”
“วันนี้ฉันโดนอาจารย์จับเทศนาเพราะสอบย่อยตกน่ะสิ ยายแก่นั่นบ่นซะนานเป็นชั่วโมง ก็เลยบอกให้เท็ตสึไปก่อนไม่ต้องรอ นึกว่าจะมาซ้อมที่นี่..”
“วันนี้ไม่มีซ้อม นายจำไม่ได้หรือไง?” เขาตอบก่อนจะประมวลผลคำพูดของอีกฝ่ายได้แล้วก็ต้องถามขึ้นอีก “ก็หมายความว่า เท็ตสึยะกลับไปคนเดียว?”
“เอ ก็คงอย่างงั้นมั้ง ฉันลืมไปสนิทเลย” อาโอมิเนะยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่เท็ตสึไม่ยอมอยู่รอ แต่เขาก็เป็นคนบอกให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนเอง จะว่าอะไรได้
อาคาชิเงียบไปอย่างครุ่นคิด คงมีไม่กี่ครั้งที่เขาภาวนาให้การคาดเดาของตนเองผิด แต่ดูเหมือนการคาดการณ์ของเขาจะยังคงถูกต้อง อย่างน้อยก็ในครั้งนี้
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มือเรียวหยิบขึ้นมามองชื่อของคนโทรเข้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วกดรับสาย “ว่าไง ชินทาโร่”
ปลายสายพูดอะไรกลับมาบางอย่าง เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาเห็นกัปตันผู้เยือกเย็นคนนี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็เกือบจะเห็นได้ถึงความกังวลที่แฝงอยู่ในดวงตาสีทับทิมคู่นั้น
“แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง” เขาถามต่อ เท่าที่ฟังดูเหมือนจะมีใครไม่สบายหรืออะไรซักอย่าง แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าใครที่จะทำให้อาคาชิถึงกับเป็นกังวลได้แบบนี้ ถึงจะแค่เล็กน้อยก็เถอะ
“ฝากด้วยนะ ขอบใจมากชินทาโร่” เด็กหนุ่มวางสายในที่สุดหลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค ครั้งนี้เขาหันมาทางที่อาโอมิเนะยืนอยู่ นัยน์ตาสีแดงมองมาอย่างนิ่งเฉยแต่เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าราวกับกำลังโดนประเมินหรือไม่ก็ตำหนิ
“เกิดอะไรขึ้น อาคาชิ” เขาถามอย่างกล้าๆกลัวๆซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติของตนเลยแม้แต่น้อย บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเขาด้วยซ้ำ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปอยู่ดี
และคำตอบของอาคาชิก็ทำให้หัวใจของเขาต้องหล่นวูบ
“เท็ตสึยะถูกใครบางคนทำร้าย ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล”
กลิ่นยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศทำให้รู้สึกอึดอัดจนสูดออกซิเจนได้ไม่ทั่วท้อง เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ในความเงียบงันของห้องที่เต็มไปด้วยสีขาวอันว่างเปล่านี้
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มพิศมองร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ ผ้าพันแผลสีขาวผืนยาวพันรอบศีรษะ เช่นเดียวกับพลาสเตอร์ผืนน้อยใหญ่ที่แปะไว้บนใบหน้าและแขนเรียวส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ต รอยช้ำสีม่วงเข้มปรากฏให้เห็นอยู่ประปรายบนผิวที่เขาจำได้ว่าเคยขาวนวลไร้ริ้วรอย
แม้ว่าเท็ตสึจะมีร่างกายที่เล็กและผอมบางเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยคิดซักครั้งว่าอีกฝ่ายอ่อนแอหรือต้องการให้คอยปกป้องประคบประหงมอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับพวกผู้หญิง โดยเฉพาะจากประสบการณ์ตรงที่เคยโดนมือคู่นั้นประทุษร้ายมาตั้งไม่รู้กี่รอบ
กระนั้นร่างของเท็ตสึยามนี้ช่างดูบอบบางและไร้ทางสู้ จนทำให้หัวใจเขาแทบจะสลายที่ต้องเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพแบบนี้
เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมสีฟ้าอ่อนนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าถ้าแตะต้องแรงไปแม้เพียงนิดอาจจะทำให้ร่างบอบบางนี้แตกสลายลงไปคามือตัวเองได้
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะความผิดของเขาเอง เพราะเขาปล่อยให้ร่างบางนี้คลาดสายตา ทั้งที่ควรจะอยู่เคียงข้างตลอด แต่เขากลับปล่อยให้เท็ตสึต้องเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายนี้เพียงลำพัง
“เท็ตสึ..” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะโหวกเหวกโวยวายรบกวนการพักผ่อนของคนป่วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะปลุกให้นัยน์ตาสีฟ้าใสคู่นั้นลืมขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายยังคงสบายดี
มืออีกข้างเลื่อนไปจับมือบางขึ้นมากุมไว้ รู้สึกได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบเมื่อยกขึ้นมาแนบกับแก้มของตัวเอง บางทีอาจจะเพราะเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำหน้าที่อย่างดีอยู่นี้ หรืออาจจะเพราะอุณหภูมิร่างกายของเท็ตสึที่มักจะเย็นเยียบอยู่เสมอเหมือนกับสีหน้าของเจ้าตัวก็เป็นได้
เขาหัวเราะเบาๆเมื่อคิดไปถึงเรื่องนั้น สีหน้าของเท็ตสึมักจะเย็นชาและไร้อารมณ์อยู่เสมอ แต่เมื่อใดที่เขาเห็นใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง ก็ทำให้หัวใจเขาราวกับจะเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือที่กุมไว้เคลื่อนไหว ทำให้เขาเบือนสายตากลับไปยังร่างบนเตียง เปลืองตาบางขยับเล็กน้อยแล้วค่อยๆปรือขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตากลมโตที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลัง
คุโรโกะกระพริบตาไปมาอยู่หลายครั้งเพื่อปรับภาพที่พร่าเลือนในตอนแรกให้ชัดเจนมากขึ้น จนพอที่จะจับเค้าลางของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาได้
“อาโอมิเนะคุง?” ภาพของเด็กหนุ่มผิวแทนปรากฏในครรลองสายตา ใบหน้าคมกับเรือนผมสีน้ำเงินเข้มที่คุ้นเคย
“ฟื้นแล้วเหรอ เท็ตสึ” อาโอมิเนะค่อยๆประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวังหลังจากเจ้าตัวทำท่าจะลุกปุบปับจนเกือบจะหน้ามืดไปแล้วหนึ่งรอบ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” ร่างเล็กกว่าเอ่ยพลางค้อมหัวลงนิดๆ แต่ดูเหมือนเลือดจะยังไหลเวียนไม่ปกติจึงต้องเอนหัวพิงหมอนไปแทน
มือสีแทนที่จับกุมมือขาวไว้ยังคงไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มร่างสูงขยับเข้าไปใกล้แล้วจ้องลึกในแววตาคู่สีฟ้าอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายเลี่ยงหนีไปไหน
“เกิดอะไรขึ้นเท็ตสึ ใครเป็นคนทำร้ายนาย?” อาโอมิเนะเอ่ยถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดตั้งแต่เสียงโทรศัพท์ของมิโดริมะสิ้นสุดลง
เย็นวันนั้นอาคาชิก็สั่งให้อาโอมิเนะไปส่งคุโรโกะที่บ้านอีก โดยที่ยังไม่ยอมอธิบายอะไรเหมือนเคย
สำหรับอาโอมิเนะแล้วนั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องลำบากอะไรมากมาย เพราะทุกวันหลังเลิกซ้อมพวกเขาก็จะกลับบ้านพร้อมกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางทีก็จะแวะไปหาของกินกันที่ร้านสะดวกซื้อหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดระหว่างทางไปด้วย ที่เพิ่มมาก็แค่เดินอ้อมไปส่งเท็ตสึที่หน้าบ้านก่อนก็เท่านั้น
ตอนเช้าเขาก็แวะไปรับที่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าจะขโมยจูบในที่สาธารณะอีกเป็นครั้งที่สองเนื่องจากยังจำสัมผัสของกำปั้นที่ฝากไว้ได้อยู่ฝังใจ
“หืม? มีอะไรรึเปล่าเท็ตสึ” เขาถามขึ้นในวันต่อมาระหว่างกำลังเดินทางกลับบ้าน เมื่อเห็นร่างเล็กชะงักไปและเหมือนจะเหลียวหลังมองอะไรซักอย่าง
“เปล่าครับ...ไม่มีอะไร” คุโรโกะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเคย แต่ปลายคิ้วเรียวนั้นกลับขมวดมุ่นน้อยๆราวกับกำลังใช้ความคิด อาโอมิเนะหันไปตามทางที่นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องอยู่เมื่อครู่ เมื่อไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติก็ปล่อยไปโดยไม่ได้คิดอะไร
ในห้องที่ปิดไฟมืดเหลือเพียงโคมไฟโต๊ะทำงานที่ส่องสว่างเพียงอย่างเดียว ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผมสีแดงผู้ครองตำแหน่งกัปตันทีมบาสเก็ตบอลเทย์โควกำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารของชมรมอย่างมีสมาธิ นัยน์ตาสีเดียวกับเรือนผมกวาดมองรายชื่อสมาชิกกับแผนผังการวางตัวผู้เล่นในการแข่งขันสลับกันไปมา ข้อมูลมากมายกองเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
เนื่องจากในตอนเย็นโรงยิมถูกใช้ในการเตรียมงานสำคัญบางอย่างของโรงเรียน ทำให้การซ้อมวันนี้ต้องโดนงดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และในเวลานี้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้จัดงานกลับไปกันหมดแล้วทำให้บรรยากาศเหลือแต่ความเงียบ และเขาเองก็ชื่นชอบความเงียบสงบนี้
แต่แล้วความสงบนั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแง้มประตูดังเอี๊ยดอ๊าด
เด็กหนุ่มเหลือบนัยน์ตาขึ้นมองผู้เข้ามารบกวนเล็กน้อยอย่างไม่คิดจะให้ความสนใจมากเท่าไหร่ และเขาคงจะกลับไปตั้งสมาธิทำงานต่อได้หากว่าคนที่อยู่หลังประตูนั้นจะไม่ใช่ร่างสูงผิวแทนเจ้าของตำแหน่งเอสประจำทีม และถ้าเขาคนนั้นไม่ได้เดินมาเพียงลำพังคนเดียวล่ะก็
“ไดกิ นายมาทำอะไรที่นี่” อาคาชิเรียกให้อีกฝ่ายหันมา อาโอมิเนะทำท่าเหมือนประหลาดใจที่ไม่เจอใครอยู่นอกจากเขา บางทีเจ้าบื้อนี่อาจจะลืมไปแล้วว่าวันนี้ไม่มีซ้อม
“อ่า อาคาชิ เห็นเท็ตสึรึเปล่า?” อาโอมิเนะหันมาถามถึงคู่หูร่างเล็กของตน หากแต่คำถามนั้นยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่กวนใจอีกฝ่ายอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“เท็ตสึยะไม่ได้อยู่กับนายหรอกหรือ”
“วันนี้ฉันโดนอาจารย์จับเทศนาเพราะสอบย่อยตกน่ะสิ ยายแก่นั่นบ่นซะนานเป็นชั่วโมง ก็เลยบอกให้เท็ตสึไปก่อนไม่ต้องรอ นึกว่าจะมาซ้อมที่นี่..”
“วันนี้ไม่มีซ้อม นายจำไม่ได้หรือไง?” เขาตอบก่อนจะประมวลผลคำพูดของอีกฝ่ายได้แล้วก็ต้องถามขึ้นอีก “ก็หมายความว่า เท็ตสึยะกลับไปคนเดียว?”
“เอ ก็คงอย่างงั้นมั้ง ฉันลืมไปสนิทเลย” อาโอมิเนะยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่เท็ตสึไม่ยอมอยู่รอ แต่เขาก็เป็นคนบอกให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนเอง จะว่าอะไรได้
อาคาชิเงียบไปอย่างครุ่นคิด คงมีไม่กี่ครั้งที่เขาภาวนาให้การคาดเดาของตนเองผิด แต่ดูเหมือนการคาดการณ์ของเขาจะยังคงถูกต้อง อย่างน้อยก็ในครั้งนี้
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มือเรียวหยิบขึ้นมามองชื่อของคนโทรเข้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วกดรับสาย “ว่าไง ชินทาโร่”
ปลายสายพูดอะไรกลับมาบางอย่าง เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เขาเห็นกัปตันผู้เยือกเย็นคนนี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็เกือบจะเห็นได้ถึงความกังวลที่แฝงอยู่ในดวงตาสีทับทิมคู่นั้น
“แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง” เขาถามต่อ เท่าที่ฟังดูเหมือนจะมีใครไม่สบายหรืออะไรซักอย่าง แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าใครที่จะทำให้อาคาชิถึงกับเป็นกังวลได้แบบนี้ ถึงจะแค่เล็กน้อยก็เถอะ
“ฝากด้วยนะ ขอบใจมากชินทาโร่” เด็กหนุ่มวางสายในที่สุดหลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค ครั้งนี้เขาหันมาทางที่อาโอมิเนะยืนอยู่ นัยน์ตาสีแดงมองมาอย่างนิ่งเฉยแต่เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าราวกับกำลังโดนประเมินหรือไม่ก็ตำหนิ
“เกิดอะไรขึ้น อาคาชิ” เขาถามอย่างกล้าๆกลัวๆซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติของตนเลยแม้แต่น้อย บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเขาด้วยซ้ำ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปอยู่ดี
และคำตอบของอาคาชิก็ทำให้หัวใจของเขาต้องหล่นวูบ
“เท็ตสึยะถูกใครบางคนทำร้าย ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล”
กลิ่นยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศทำให้รู้สึกอึดอัดจนสูดออกซิเจนได้ไม่ทั่วท้อง เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ในความเงียบงันของห้องที่เต็มไปด้วยสีขาวอันว่างเปล่านี้
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มพิศมองร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ ผ้าพันแผลสีขาวผืนยาวพันรอบศีรษะ เช่นเดียวกับพลาสเตอร์ผืนน้อยใหญ่ที่แปะไว้บนใบหน้าและแขนเรียวส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ต รอยช้ำสีม่วงเข้มปรากฏให้เห็นอยู่ประปรายบนผิวที่เขาจำได้ว่าเคยขาวนวลไร้ริ้วรอย
แม้ว่าเท็ตสึจะมีร่างกายที่เล็กและผอมบางเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยคิดซักครั้งว่าอีกฝ่ายอ่อนแอหรือต้องการให้คอยปกป้องประคบประหงมอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับพวกผู้หญิง โดยเฉพาะจากประสบการณ์ตรงที่เคยโดนมือคู่นั้นประทุษร้ายมาตั้งไม่รู้กี่รอบ
กระนั้นร่างของเท็ตสึยามนี้ช่างดูบอบบางและไร้ทางสู้ จนทำให้หัวใจเขาแทบจะสลายที่ต้องเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพแบบนี้
เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมสีฟ้าอ่อนนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าถ้าแตะต้องแรงไปแม้เพียงนิดอาจจะทำให้ร่างบอบบางนี้แตกสลายลงไปคามือตัวเองได้
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะความผิดของเขาเอง เพราะเขาปล่อยให้ร่างบางนี้คลาดสายตา ทั้งที่ควรจะอยู่เคียงข้างตลอด แต่เขากลับปล่อยให้เท็ตสึต้องเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายนี้เพียงลำพัง
“เท็ตสึ..” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะโหวกเหวกโวยวายรบกวนการพักผ่อนของคนป่วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะปลุกให้นัยน์ตาสีฟ้าใสคู่นั้นลืมขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายยังคงสบายดี
มืออีกข้างเลื่อนไปจับมือบางขึ้นมากุมไว้ รู้สึกได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบเมื่อยกขึ้นมาแนบกับแก้มของตัวเอง บางทีอาจจะเพราะเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำหน้าที่อย่างดีอยู่นี้ หรืออาจจะเพราะอุณหภูมิร่างกายของเท็ตสึที่มักจะเย็นเยียบอยู่เสมอเหมือนกับสีหน้าของเจ้าตัวก็เป็นได้
เขาหัวเราะเบาๆเมื่อคิดไปถึงเรื่องนั้น สีหน้าของเท็ตสึมักจะเย็นชาและไร้อารมณ์อยู่เสมอ แต่เมื่อใดที่เขาเห็นใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง ก็ทำให้หัวใจเขาราวกับจะเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือที่กุมไว้เคลื่อนไหว ทำให้เขาเบือนสายตากลับไปยังร่างบนเตียง เปลืองตาบางขยับเล็กน้อยแล้วค่อยๆปรือขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตากลมโตที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลัง
คุโรโกะกระพริบตาไปมาอยู่หลายครั้งเพื่อปรับภาพที่พร่าเลือนในตอนแรกให้ชัดเจนมากขึ้น จนพอที่จะจับเค้าลางของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาได้
“อาโอมิเนะคุง?” ภาพของเด็กหนุ่มผิวแทนปรากฏในครรลองสายตา ใบหน้าคมกับเรือนผมสีน้ำเงินเข้มที่คุ้นเคย
“ฟื้นแล้วเหรอ เท็ตสึ” อาโอมิเนะค่อยๆประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวังหลังจากเจ้าตัวทำท่าจะลุกปุบปับจนเกือบจะหน้ามืดไปแล้วหนึ่งรอบ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” ร่างเล็กกว่าเอ่ยพลางค้อมหัวลงนิดๆ แต่ดูเหมือนเลือดจะยังไหลเวียนไม่ปกติจึงต้องเอนหัวพิงหมอนไปแทน
มือสีแทนที่จับกุมมือขาวไว้ยังคงไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มร่างสูงขยับเข้าไปใกล้แล้วจ้องลึกในแววตาคู่สีฟ้าอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายเลี่ยงหนีไปไหน
“เกิดอะไรขึ้นเท็ตสึ ใครเป็นคนทำร้ายนาย?” อาโอมิเนะเอ่ยถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดตั้งแต่เสียงโทรศัพท์ของมิโดริมะสิ้นสุดลง
“ศีรษะโดนกระทบกระเทือนจากด้านหลัง แล้วก็มีรอยฟกช้ำกับเลือดออกบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีกระดูกตรงจุดไหนหัก แค่นอนพักเดี๋ยวก็กลับบ้านได้”
เด็กหนุ่มผมสีเพลิงนั่งคำวินิจฉัยจากหมอผู้ตรวจอาการอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่นอกจากการโดนของแข็งฟาดที่หัวแล้วส่วนอื่นก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงถึงขั้นทำให้ต้องโดนพักยาว
ร่างโปร่งลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่มีใครในห้องนั้นทันสังเกตเห็นนอกจากเด็กหนุ่มผมเขียวอีกคนที่ยืนพิงประตูอยู่อีกฝั่ง แต่เขาก็รู้ดีพอที่จะไม่พูดอะไรออกมา
“หมอบอกว่าอีกเดี๋ยวเท็ตสึยะก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ นายช่วยไปหาอะไรมาให้เขากินรองท้องก่อนจะกลับบ้านก็แล้วกันนะ ไดกิ” อาคาชิเอ่ยสั่งทันทีที่เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย คนถูกสั่งทำหน้าเหมือนอยากจะปฏิเสธเต็มทีแต่สายตาที่ส่งมานั้นก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น
อาโอมิเนะวางมือที่กุมไว้ลงข้างตัวเจ้าของอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะยอมเดินออกไปทำหน้าที่ตามที่กัปตันของตนมอบหมาย
คนบนเตียงหันมามองผู้เข้ามาใหม่บ้าง เขารู้ว่าการที่อาคาชิจงใจไล่ให้อาโอมิเนะออกไปเช่นนี้ย่อมแปลว่ามีเรื่องที่ต้องการคุยกับเขาเพียงลำพัง และเขาเองก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับอีกฝ่ายอยู่ด้วยเหมือนกัน
นัยน์ตาสีแดงยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดออกมานอกจากความนิ่งเฉย ความเงียบเข้าครอบงำเมื่อไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยอะไรออกมาก่อน
รอยยิ้มมุมปากพาดผ่านเรียวปากบาง ก่อนที่เด็กหนุ่มผมแดงจะพูดขึ้นในที่สุด “พวกนั้นสินะ...ที่ทำแบบนี้”
“อาคาชิคุง รู้อยู่แล้วสินะครับ” คุโรโกะไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจที่อาคาชิดูเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาเพียงถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ “ถึงได้ให้อาโอมิเนะคุงคอย..ไปส่งผมอยู่ตลอด”
“ก็พอจะเดาได้อยู่..” อาคาชิไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งที่เขาคิดมักจะถูกต้องเสมอ ถึงจะมีบางครั้งที่อยากให้ผิดบ้างก็เถอะ “บางทีนี่อาจจะเป็นแค่คำเตือน”
ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้ลมหายใจของร่างบางขาดห้วงขึ้นมาเล็กน้อย มือเลื่อนไปกุมมืออีกข้างของตนที่เมื่อครู่ยังมีสัมผัสความอบอุ่นจางๆของคนที่เพิ่งเดินออกไปหลงเหลืออยู่ และอากัปกิริยานั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของอีกคนไปได้
“เท็ตสึยะ นายลงแข่งนัดหน้าไหวใช่รึเปล่า?” คำถามเปลี่ยนเรื่องซะแบบนั้นทำเอาตั้งตัวแทบไม่ทัน ถึงจะดูเหมือนคำถามที่แสดงถึงความห่วงใย แต่คำตอบที่คนๆนี้คาดหวังดูจะเป็นได้เพียงแค่อย่างเดียว
“ไหวครับ กรุณาให้ผมลงแข่งด้วย อาคาชิคุง” เด็กหนุ่มผมฟ้าตอบอย่างหนักแน่น สิ่งที่สะท้อนในแววตาสีฟ้าใสนั้นมีแต่ความมุ่งมั่นและไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
ถึงแม้จะรู้ว่าการไม่เชื่อ ‘คำเตือน’ นั้นอาจจะทำให้เกิดผลที่ตามมาหนักหนากว่าครั้งนี้ก็เป็นได้
อาคาชิเหยียดยิ้มอีกครั้งอย่างพึงใจ นับว่าสายตาเขานั้นมองไม่ผิดเลยจริงๆ
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย มือเรียวลูบเรือนผมสีฟ้าบริเวณที่มีผ้าพันแผลพันไว้อย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น นายแค่ทำให้ดีที่สุดในการแข่งขันก็พอ นอกนั้นฉันจะจัดการเอง”
“อาคาชิคุง..” เขาเชื่อในคำพูดของผู้เป็นกัปตัน เพราะไม่เคยซักครั้งที่อีกฝ่ายจะผิดคำพูด เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถอยหนีเมื่อมือนั้นเลื่อนลงมาสัมผัสบริเวณแก้มที่มีรอยช้ำ
จังหวะนั้นเองที่ประตูเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างสูงที่กลับมาจากซื้อของพอดี นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหรี่มองด้วยความสงสัยและติดจะไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
คุโรโกะรีบถอยห่างจากมือของอาคาชิอย่างไม่รู้ตัว ท่าทีร้อนรนราวกับโดนจับผิดนั้นทำเอาเด็กหนุ่มผมแดงถึงกับหลุดขำออกมาน้อยๆ
“ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อน เท็ตสึยะ รักษาตัวด้วย” อาคาชิเอ่ยย้ำแล้วเดินละออกมาจากเตียง ทำท่าจะเดินออกประตูไปแต่ก็หยุดตรงหน้าที่ร่างสูงยืนอยู่ ใบหน้าสีแทนนั้นยังคงมีความไม่พอใจปรากฏอย่างชัดเจน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันกว่า 20 เซนต์ทำให้หากมองเผินๆแล้วเหมือนร่างเล็กกว่าจะเป็นฝ่ายที่กำลังถูกคุกคามอยู่ ทว่าอาคาชิกลับไม่ได้มีท่าทีหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย มือเอื้อมมาแตะที่ไหล่กว้างเพียงเบาๆแต่ราวกับเรี่ยวแรงโดนดึงหายไปจนแทบยืนไม่อยู่
“ไดกิ อย่าลืมไปส่งเท็ตสึยะที่บ้านด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มผมแดงกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป
“ไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้ว” อาโอมิเนะตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเกินจำเป็น
เด็กหนุ่มผมสีเพลิงนั่งคำวินิจฉัยจากหมอผู้ตรวจอาการอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่นอกจากการโดนของแข็งฟาดที่หัวแล้วส่วนอื่นก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงถึงขั้นทำให้ต้องโดนพักยาว
ร่างโปร่งลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่มีใครในห้องนั้นทันสังเกตเห็นนอกจากเด็กหนุ่มผมเขียวอีกคนที่ยืนพิงประตูอยู่อีกฝั่ง แต่เขาก็รู้ดีพอที่จะไม่พูดอะไรออกมา
“หมอบอกว่าอีกเดี๋ยวเท็ตสึยะก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ นายช่วยไปหาอะไรมาให้เขากินรองท้องก่อนจะกลับบ้านก็แล้วกันนะ ไดกิ” อาคาชิเอ่ยสั่งทันทีที่เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย คนถูกสั่งทำหน้าเหมือนอยากจะปฏิเสธเต็มทีแต่สายตาที่ส่งมานั้นก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น
อาโอมิเนะวางมือที่กุมไว้ลงข้างตัวเจ้าของอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะยอมเดินออกไปทำหน้าที่ตามที่กัปตันของตนมอบหมาย
คนบนเตียงหันมามองผู้เข้ามาใหม่บ้าง เขารู้ว่าการที่อาคาชิจงใจไล่ให้อาโอมิเนะออกไปเช่นนี้ย่อมแปลว่ามีเรื่องที่ต้องการคุยกับเขาเพียงลำพัง และเขาเองก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับอีกฝ่ายอยู่ด้วยเหมือนกัน
นัยน์ตาสีแดงยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดออกมานอกจากความนิ่งเฉย ความเงียบเข้าครอบงำเมื่อไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยอะไรออกมาก่อน
รอยยิ้มมุมปากพาดผ่านเรียวปากบาง ก่อนที่เด็กหนุ่มผมแดงจะพูดขึ้นในที่สุด “พวกนั้นสินะ...ที่ทำแบบนี้”
“อาคาชิคุง รู้อยู่แล้วสินะครับ” คุโรโกะไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจที่อาคาชิดูเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาเพียงถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ “ถึงได้ให้อาโอมิเนะคุงคอย..ไปส่งผมอยู่ตลอด”
“ก็พอจะเดาได้อยู่..” อาคาชิไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งที่เขาคิดมักจะถูกต้องเสมอ ถึงจะมีบางครั้งที่อยากให้ผิดบ้างก็เถอะ “บางทีนี่อาจจะเป็นแค่คำเตือน”
ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้ลมหายใจของร่างบางขาดห้วงขึ้นมาเล็กน้อย มือเลื่อนไปกุมมืออีกข้างของตนที่เมื่อครู่ยังมีสัมผัสความอบอุ่นจางๆของคนที่เพิ่งเดินออกไปหลงเหลืออยู่ และอากัปกิริยานั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของอีกคนไปได้
“เท็ตสึยะ นายลงแข่งนัดหน้าไหวใช่รึเปล่า?” คำถามเปลี่ยนเรื่องซะแบบนั้นทำเอาตั้งตัวแทบไม่ทัน ถึงจะดูเหมือนคำถามที่แสดงถึงความห่วงใย แต่คำตอบที่คนๆนี้คาดหวังดูจะเป็นได้เพียงแค่อย่างเดียว
“ไหวครับ กรุณาให้ผมลงแข่งด้วย อาคาชิคุง” เด็กหนุ่มผมฟ้าตอบอย่างหนักแน่น สิ่งที่สะท้อนในแววตาสีฟ้าใสนั้นมีแต่ความมุ่งมั่นและไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
ถึงแม้จะรู้ว่าการไม่เชื่อ ‘คำเตือน’ นั้นอาจจะทำให้เกิดผลที่ตามมาหนักหนากว่าครั้งนี้ก็เป็นได้
อาคาชิเหยียดยิ้มอีกครั้งอย่างพึงใจ นับว่าสายตาเขานั้นมองไม่ผิดเลยจริงๆ
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย มือเรียวลูบเรือนผมสีฟ้าบริเวณที่มีผ้าพันแผลพันไว้อย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น นายแค่ทำให้ดีที่สุดในการแข่งขันก็พอ นอกนั้นฉันจะจัดการเอง”
“อาคาชิคุง..” เขาเชื่อในคำพูดของผู้เป็นกัปตัน เพราะไม่เคยซักครั้งที่อีกฝ่ายจะผิดคำพูด เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถอยหนีเมื่อมือนั้นเลื่อนลงมาสัมผัสบริเวณแก้มที่มีรอยช้ำ
จังหวะนั้นเองที่ประตูเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างสูงที่กลับมาจากซื้อของพอดี นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหรี่มองด้วยความสงสัยและติดจะไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
คุโรโกะรีบถอยห่างจากมือของอาคาชิอย่างไม่รู้ตัว ท่าทีร้อนรนราวกับโดนจับผิดนั้นทำเอาเด็กหนุ่มผมแดงถึงกับหลุดขำออกมาน้อยๆ
“ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อน เท็ตสึยะ รักษาตัวด้วย” อาคาชิเอ่ยย้ำแล้วเดินละออกมาจากเตียง ทำท่าจะเดินออกประตูไปแต่ก็หยุดตรงหน้าที่ร่างสูงยืนอยู่ ใบหน้าสีแทนนั้นยังคงมีความไม่พอใจปรากฏอย่างชัดเจน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันกว่า 20 เซนต์ทำให้หากมองเผินๆแล้วเหมือนร่างเล็กกว่าจะเป็นฝ่ายที่กำลังถูกคุกคามอยู่ ทว่าอาคาชิกลับไม่ได้มีท่าทีหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย มือเอื้อมมาแตะที่ไหล่กว้างเพียงเบาๆแต่ราวกับเรี่ยวแรงโดนดึงหายไปจนแทบยืนไม่อยู่
“ไดกิ อย่าลืมไปส่งเท็ตสึยะที่บ้านด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มผมแดงกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป
“ไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้ว” อาโอมิเนะตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเกินจำเป็น
TBC
No comments:
Post a Comment