Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
07
“สอบเลื่อนชั้น....!?” นับเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ต้องบันทึกไว้ในพจนานุกรมส่วนตัวของอาโอมิเนะ ไดกิเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยรู้จักกับคำนี้เป็นครั้งแรกก็จากปากของซัทสึกิวันนี้แหละ
“นายไปอยู่โลกไหนมาเนี่ย” เด็กสาวส่ายหน้าอย่างระอาใจกับความสมองทึบของเพื่อนสมัยเด็กของหล่อน
“ก็ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยมีนี่นา” เด็กหนุ่มร่างสูงพยายามเถียงกลับด้วยสิ่งที่เขาคิดว่ามันก็ค่อนข้างจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ก็ตั้งแต่เรียนมาเท่าที่จำความได้ไม่เห็นเคยต้องมีสอบเลื่อนชั้นบ้าบออะไรเนี่ยเลยซักครั้ง แล้วทำไมจู่ๆจะมามีตอนนี้ล่ะ!?
“แล้วตอนนี้นายยังเป็นเด็กประถมอยู่รึไงล่ะ?” โมโมอิว่าต่อ “ฉันถึงบอกให้อาโอมิเนะคุงตั้งใจเรียนตั้งไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วเคยฟังกันบ้างมั้ย ถ้าซ้ำชั้นขึ้นมาจะสมน้ำหน้าให้”
ร่างบางพูดจบก็วางกองเอกสารกองใหญ่ตรงหน้าเด็กหนุ่มผิวแทนผู้ยังคงทำหน้าราวกับได้ข่าววันสิ้นโลกที่จะมาถึงยังไงยังงั้น
“นี่อะไร?” เขามองกองกระดาษปริศนาดังกล่าวสลับกับผู้จัดการสาวไปมา
“สมุดโทรศัพท์มั้ง เลกเชอร์ในห้องเรียนต่างหาก ถ้าไม่อยากสอบตกก็เอาไปตั้งใจอ่านซะ”
“ถ้ายังงั้นเธอเข้าสอบแทนฉันซะเลยจะดีกว่านะ”
“ทำแบบนั้นก็โดนไล่ออกจากโรงเรียนกันพอดี เอ้านั่งลงดีๆสิ โมโมอิจังผู้น่ารักคนนี้ถึงกับยอมลดตัวมาสอนนายเลยนะ” โมโมอิหยิบมาปึกหนึ่งแล้วตีลงบนหัวของอาโอมิเนะเผื่อว่ามันจะซึมเข้าสมองกลวงๆนั่นบ้าง
“ห๊า!? นี่เธอไปแค้นฉันมาจากชาติปางไหนกันเนี่ย ซัทสึกิ” มือใหญ่ค่อยๆพลิกเอกสารกองโตนั้นดูทีละแผ่นๆ แค่เห็นตัวหนังสือยุบยับเต็มหน้ากระดาษก็แทบจะทำเขาเป็นลมได้แล้ว
“กับนายแค่ชาติเดียวก็พอแล้วล่ะ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณน้าฝากมาให้ดูแลนายฉันคงไม่ต้องมาวุ่นวายแบบนี้หรอก สำนึกบุญคุณกันซะบ้างสิ” เมื่อโมโมอิ ซัทสึกิเข้าสู่โหมดอาจารย์เต็มขั้นด้วยการไปเอาแว่นจากไหนไม่รู้มาสวมเพื่อเพิ่มบารมี อาโอมิเนะได้แต่กลืนน้ำลายแล้วนั่งคอตกอย่างยอมรับชะตากรรม
แต่อนิจจาบทบาทอาจารย์นักเรียนของทั้งคู่กินเวลาไม่ได้นานสักเท่าไหร่ก่อนที่โมโมอิจะหมดความอดทนกับความซื่อบื้อของเด็กหนุ่มในที่สุด
“อะไรของนาย ไดจัง ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้เองนะ” เด็กสาวกุมขมับ พลางคิดว่าคงไม่มีอะไรในโลกยากไปกว่าการสอนอาโอมิเนะให้เรียนหนังสืออีกแล้ว
“เธอพูดยาวขนาดนั้นใครจะไปจำได้กันเล่า!” เขายกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
“ในสมองนายมันมีแต่ลูกบาสเก็ตบอลอุดอยู่เต็มไปหมดแล้วรึไงกัน พอเลย ฉันยอมแพ้แล้ว นี่มันยากยิ่งกว่าตักน้ำรดหัวตอซะอีกนะ”
“เธอหาว่าฉันเป็นตอไม้รึไง!?” อาโอมิเนะเริ่มขึ้นเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด เดิมทีการเรียนหนังสือกับเขาก็เป็นอะไรที่ไม่เข้ากันอยู่แล้ว ถึงเลกเชอร์ของซัทสึกิจะอ่านง่ายก็เถอะ แต่จู่ๆจะให้ทำความเข้าใจบทเรียนทั้งเทอมภายในเวลาอันสั้นใครจะไปทำได้กัน
“ก็แล้วไม่ใช่รึไงล่ะ” เสียงหวานเถียงขึ้นอย่างหมดความอดทนเต็มที
“เพราะเธอสอนไม่รู้เรื่องเองต่างหาก!” ประโยคนั้นทำเอาโมโมอิถึงกับฟิวส์ขาดในที่สุด
“ไดจังบ้า! ถ้างั้นก็อ่านเองไปแล้วกัน ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว!” พูดจบร่างบางก็กระแทกหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแรง เรือนผมสีชมพูสะบัดไหวเมื่อเจ้าตัวหันหลังเดินหนีไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง ทิ้งเด็กหนุ่มร่างสูงผู้ประสบความสำเร็จในการทำตัวเป็นไอ้งั่งอีกครั้งไว้กับเอกสารกองโตที่คงไร้ประโยชน์เพราะเจ้าตัวไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด
ถึงจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนอื่นในชมรมให้ก็ไม่ได้ผลต่างกันเท่าไหร่นัก
เริ่มจากมิโดริมะผู้ดูท่าทางจะคงแก่เรียนและเป็นที่พึ่งได้ดีที่สุด แต่เด็กหนุ่มร่างสูงกลับทำแค่เพียงยื่นตุ๊กตาล้มลุกหน้าตาประหลาดมาให้แล้วบอกว่าเป็นลักกี้ไอเท็มสำหรับวันสอบ ให้พกไว้เท่านั้น
ส่วนมุราซากิบาระก็ไม่ได้มีสถานการณ์ดีไปกว่าเขาเท่าไหร่ ตัวช่วยนี้ก็คงต้องตกไป
จะเหลือก็แต่อาคาชิ... บางทีการไปสู้กับสิงโตอาจจะยังน่ากลัวน้อยกว่าไปขอให้อาคาชิติวให้ก็ได้ คิดแล้วก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คงเป็นภาพแปลกตาไม่น้อยสำหรับปีหนึ่งห้อง A ที่จะมีร่างสูงของเด็กหนุ่มผิวเข้ม ผู้พ่วงตำแหน่งนักบาสเก็ตบอลคนดังของโรงเรียนที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก มายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าห้องเหมือนทำอะไรไม่ถูก
“เท็ตสึ เอ่อ คุโรโกะ อยู่รึเปล่า?” หลังจากมองหาอยู่นานแล้วไม่เห็นคนที่ตนตั้งใจจะมาพบ เขาจึงตัดสินใจถามเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะอยู่ห้องเดียวกันในที่สุด
เด็กหนุ่มผมดำใส่แว่นทำหน้างงๆเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน ทำนองว่า “ห้องเรามีคนชื่อคุโรโกะด้วยเหรอ?”
อาโอมิเนะที่เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองมาถูกห้องหรือเปล่า เขาเงยหน้ามองป้ายชื่อห้อง 1-A อีกครั้งว่าไม่ได้มองผิด แต่บางทีเขาอาจจะจำห้องผิดเองก็เป็นได้
“อาโอมิเนะคุง?” เสียงทุ้มหวานดังขึ้นเบื้องหลังโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งจนเกือบอุทานลั่นระเบียงออกมา แต่เขาก็รู้ว่าเสียงคุ้นหูนั่นเป็นของใคร
“เท็ตสึ! เลิกโผล่มาข้างหลังคนอื่นแบบนั้นซะทีเซ่!” ร่างสูงหันไปเผชิญหน้ากับร่างเล็กกว่าที่มีงานอดิเรกชอบทำให้ชาวบ้านตกใจอยู่บ่อยๆ
“ผมยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วต่างหากครับ ว่าแต่ อาโอมิเนะคุงมีธุระอะไรกับผมเหรอ” เด็กหนุ่มผมฟ้าเอียงคอถามอย่างไร้เดียงสา
“เออ..ก็..” เด็กหนุ่มผิวแทนยกมือเกาหลังคอตัวเองอย่างเก้อเขิน การจะขอให้คนอื่นช่วยอะไรนี่มันผิดวิสัยเขาจริงๆ สายตาบรรดานักเรียนห้อง 1-A เริ่มจ้องมองที่พวกเขาทั้งคู่อย่างสนใจและใคร่รู้ทำให้ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่ พลางเริ่มสงสัยว่าตัวเองคิดดีแล้วหรือเปล่าที่มาขอร้องอีกฝ่ายแบบนี้
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ” เขาพูดขึ้นก่อนจะคว้ามือเด็กหนุ่มร่างเล็กแล้วลากไปด้วยกันโดยไม่สนใจฟังเสียงคัดค้านแต่อย่างใด
“อาโอมิเนะคุง เดี๋ยวสิครับ” คุโรโกะพูดขึ้นเมื่อโดนฉุดลากเดินมาได้สักพักใหญ่ ขายาวของคนเดินนำนั้นก้าวเร็วๆจนช่วงขาที่สั้นกว่าของเขาเกือบจะต้องวิ่งเพื่อตามให้ทัน ส่วนสถานที่ที่เดินมาถึงนั้นก็ไม่ใช่ที่อื่นไกล เป็นชมรมบาสเก็ตบอลที่พวกเขาคุ้นเคยนั่นเอง
“ฉันจะบอกว่า เท็ตสึ ช่วยติวหนังสือให้ทีสิ!” อาโอมิเนะโพล่งออกมาในที่สุดหลังจากหยุดเดินกะทันหันจนร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวชนเข้ากับแผ่นหลังของคนที่เดินนำอยู่
คนถูกขอร้องนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “ผมคิดว่า คุณควรจะไปขอโทษโมโมอิซังนะครับ”
“นายรู้..?” เด็กหนุ่มผิวเข้มเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ เขามองใบหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์นั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
“โมโมอิซังบอกว่าอาโอมิเนะคุงทำตัวงี่เง่ามาก น่าสงสารเธอออกนะครับ”
“เออ ฉันก็รู้แหละว่าฉันผิด แต่ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันไม่รู้เรื่องนี่นา” มือใหญ่ยกขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
คุโรโกะมองอาโอมิเนะอย่างชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆในที่สุด
“ตกลงครับ”
เพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่คุณเคยให้ผมมามากมาย แค่นี้ไม่ถือว่าเหนือบ่ากว่าแรงเลยสักนิด ถึงคุณไม่ขอร้องผมก็ยินดีจะทำให้อยู่แล้ว
“กลับมาแล้วครับ”
“กลับมาแล้วเหรอ พี่เท็ตสึ....ยะ?” เด็กน้อยผมสีฟ้าเอ่ยทักทายเสียงใสทันทีที่ได้ยินเสียงประตูหน้าบ้านเปิด เขาวิ่งไปเตรียมการต้อนรับด้วยการพุ่งเข้ากอดพี่ชาย ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของใครอีกคนที่เดินตามเข้ามาด้วย
“พี่ชายมิเนะ!?”
“เออ สวัสดีเจ้าเปี๊ยก” อาโอมิเนะเอามือยีหัวร่างเล็กๆนั้นอย่างเอ็นดู พอทำแบบนี้แล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของส่วนสูงระหว่างเท็ตสึกับอิคุมิได้ชัดเจนดีเหมือนกัน
อย่างน้อยหัวเท็ตสึก็อยู่ในระดับที่พอดีมือกว่าล่ะนะ
“พี่ชายมิเนะมาทำอะไรที่นี่ฮะ มาเล่นเกมด้วยกันอีกรึเปล่า” นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นมองมาอย่างมีความหวัง ส่วนประโยคเชื้อเชิญนั้นก็ดูน่าสนใจเหลือเกิน หากแต่ร่างสูงกลับรู้สึกได้ถึงรังสีอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากด้านหลัง
“วันนี้อาโอมิเนะคุงกับพี่ต้องเรียนหนังสือกัน คงเล่นเกมด้วยไม่ได้หรอกครับอิคุมิคุง” คุโรโกะพูดขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วรีบปฏิเสธการเล่นวีดีโอเกม ท่ามกลางความผิดหวังของเด็กชายผมฟ้าที่ทำหน้าราวกับลูกหมาจนเขาอดสงสาร(ตัวเอง)ไม่ได้
ร่างสูงปล่อยให้เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านอีกคนนำทางขึ้นไปที่ห้องตัวเองบนชั้นสอง เพื่อเผชิญหน้ากับการท้าทายอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของอาโอมิเนะ ไดกิ คือการอ่านหนังสือติวข้อสอบนั่นเอง
“อาโอมิเนะคุง ตั้งใจฟังอยู่รึเปล่าครับ”
เด็กหนุ่มผิวเข้มสะดุ้งตื่นจากการเกือบจะเข้าเฝ้าพระอินทร์เป็นรอบที่ร้อย ด้วยเสียงเรียกและการกระทุ้งเข้าที่สีข้างอย่างแรงของอาจารย์สอนพิเศษจำเป็น ผู้ซึ่งนั่งทำหน้าคิ้วขมวดน้อยๆอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะหนังสือตัวเตี้ย
การเรียนหนังสือไม่ว่าจะในห้องหรือนอกห้องก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะบังคับตัวเองให้สนใจได้เป็นระยะเวลาเกิน 5 นาที แล้วฟ้าข้างนอกก็มืด อากาศเย็นสบาย แล้วยังกลิ่นหอมๆของสบู่ที่ออกมาจากคนตัวเล็กที่นั่งห่างในระยะไม่ถึงสองเมตรนี่อีกจะไม่เคลิ้มยังไงไหว
ก่อนหน้านี้เขาก็เผลอหลับไปแล้วรอบนึงตอนที่เท็ตสึนั่งสอนวิชาประวัติศาตร์ญี่ปุ่นอยู่ อีกฝ่ายจึงไล่เขาไปอาบน้ำเผื่อจะได้ตื่นเต็มตามากขึ้น แต่ที่ไหนได้ หลังอาบน้ำมากลับง่วงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ราวกับสมองเตรียมตัวปิดสวิทช์เสียเต็มที่อย่างนั้นแหละ
คุโรโกะถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเมื่อมองดูคนที่ยังก็ท่าทางจะเข็นยากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนวิธีสอนกันใหม่
“อาโอมิเนะคุง มาเล่นเกมกันดีมั้ยครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าเสนอขึ้นมา ทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “กติกาง่ายๆ ผลัดกันถามตอบเกี่ยวกับเรื่องในหนังสือนี่ ถ้าใครตอบผิดก่อนเป็นฝ่ายแพ้”
เขารู้ดีว่าอาโอมิเนะเป็นคนชอบแข่งขัน และมักจะไม่ยอมถอยหนีจากคำท้าง่ายๆ
“ผมจะต่อให้คุณเปิดเลกเชอร์ของโมโมอิซังได้ด้วย เป็นไงครับ” จงใจสำทับลงไปอีกเพื่อให้เห็นว่าอีกฝ่ายได้เปรียบขนาดนี้ หากจะไม่ยอมเล่นด้วยก็คงโง่เต็มทน
“หืม....” อาโอมิเนะครุ่นคิด เกมนี้เขาได้เปรียบไม่น้อย แต่ทว่า.. “ในเมื่อเป็นเกม ถ้าคนชนะแล้วจะได้อะไรล่ะ”
“เรื่องนั้นไว้ให้ชนะผมได้ก่อนแล้วค่อยคิดเถอะครับ” คุโรโกะพูดอย่างมั่นใจ ราวกับตัวเองไม่มีทางแพ้เกมนี้แน่ๆ เรียกรอยยิ้มพรายขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มผิวเข้ม รอยยิ้มซึ่งแสดงถึงความมั่นใจที่ไม่แพ้กัน
ถึงจะไม่ชอบเรียนก็เถอะ แต่ถ้าเปิดหนังสือตอบได้แบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางที่เขาจะแพ้หรอกน่า
แต่แล้วอาโอมิเนะก็ต้องพบว่าการเปิดหนังสือตอบคำถามนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่เคยสนใจอ่านหนังสือเลยแบบเขา กว่าจะหาคำตอบเจอแต่ละข้อก็ใช้เวลาไปนานพอสมควรเหมือนกัน ยังดีที่เลกเชอร์ของซัทสึกิจดไว้ได้เป็นระเบียบและอ่านง่ายมากๆเมื่อเทียบกับบทเรียนที่บรรยายราวกับน้ำท่วมทุ่งในหนังสือ
ฝ่ายเท็ตสึที่เขาคิดว่าจะเสียเปรียบเพราะไม่ได้เปิดหนังสือกลับตอบได้เร็วกว่ามาก ทำให้ยังไม่ทันจะมีเวลาได้พักหายใจก็ต้องกลับมาเป็นฝ่ายตอบคำถามเองเสียทุกครั้งไป
ทั้งสองผลัดกันถามตอบจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ไปแล้ว เมื่อความง่วงเริ่มเข้ามาครอบงำให้หนังตาหนักอึ้งจนแทบจะฝืนลืมไว้ไม่อยู่ แล้วระหว่างที่อาโอมิเนะใช้เวลานานในการค้นหาคำตอบอยู่นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นคุโรโกะผลอยหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย เท็ตสึ” เขาส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ไม่แน่ใจว่าควรจะปล่อยให้หลับไปหรือปลุกขึ้นมานั่งเล่นเกมกันต่อดี อันที่จริงมันก็ได้เวลาสมควรจะนอนแล้ว ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอสนุกกับเรื่องเรียนจนลืมเวลาไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อาโอมิเนะมองเด็กหนุ่มร่างเล็กผู้อยู่ในห้วงนิทรา
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาค่อยๆก้มลงไปจนใบหน้าน่ารักนั้นอยู่ห่างแค่คืบ ลมหายใจที่เป่ารดลงบนพวงแก้มใสเริ่มร้อนขึ้นผิดกับเสียงหายใจเข้าออกของอีกฝ่ายที่ยังคงสม่ำเสมอ กลีบปากสีชมพูระเรื่อที่เผยอออกน้อยๆราวกับจะยั่วยวนให้สัมผัสจนแทบอดใจไม่ไหว
‘จูบน่ะ เค้าต้องทำกับคนที่ชอบไม่ใช่หรือไง’
คำพูดของซัทสึกิดังขึ้นมาในส่วนลึกสุดของสมอง แต่อาโอมิเนะหาได้สนใจไม่
เรื่องชอบอะไรนั่นไม่เห็นต้องสนใจ รู้แค่ตอนนี้ ก็แค่อยากทำตามใจก็เท่านั้น
แล้วริมฝีปากหนาทาบทับลงไปบนริมฝีปากคู่บางอีกครั้ง หลังจากเฝ้าตั้งคำถามกับการกระทำนี้ในหัวไม่รู้กี่ร้อยรอบแต่ยังไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้ รู้ก็แต่สิ่งที่รู้สึกอยู่นี้ ไม่ใช่ความรังเกียจ ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ รู้สึกว่าดีมากๆ จนอยากจะลิ้มรสให้มากกว่านี้
หากทว่าก่อนที่จะทันได้ทำดังที่ใจคิด มือบางก็ผลักเขาอย่างแรงพอที่จะทำให้รู้สึกตัวและสองร่างผละออกจากกันในระยะที่ปลอดภัยเสียก่อน
นัยน์ตาสีฟ้าไม่มีเค้าลางของความง่วงงุนหลงเหลืออยู่ ใบหน้าของอีกฝ่ายพยายามคงความเฉยชาเหมือนเช่นปกติหากแต่ผิวขาวนวลนั้นกลับไม่สามารถปกปิดสีเลือดฝาดที่พากันขึ้นไปกองอยู่บนแก้มได้มิด เรียวปากที่เพิ่งโดนจูบไปนั้นค่อยๆเผยออกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่ากว่าปกติ
“เมื่อกี้.. ก็ไม่ได้ตั้งใจด้วยรึเปล่าครับ”
เขานิ่งไปสักพักอย่างครุ่นคิด “เปล่า.. ครั้งนี้ฉันตั้งใจน่ะ” ดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้มจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา รอดูปฏิกิริยาจากคำพูดนั้น
แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคุโรโกะกลับเป็นฝ่ายเอื้อมตัวขึ้นมาจูบเขาบ้าง สั้นๆและแผ่วเบา ก่อนจะถอนออกอย่างรวดเร็วจนราวกับเป็นแค่ความฝันชั่ววูบ ถ้าไม่มีประโยคที่ตามมาหลังจากนั้น
“เมื่อกี้ ผมก็ตั้งใจเหมือนกันครับ”
แล้วริมฝีปากทั้งสองก็เคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง คราวนี้ด้วยความเต็มใจของทั้งคู่ จุมพิตหอมหวานที่ต่างแลกเปลี่ยนกันลึกซึ้งและนุ่มนวลกว่าครั้งแรก เนิ่นนานกว่าครั้งไหนๆ ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆพองโตขึ้นในหัวใจ ความรู้สึกที่แม้ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่อาจรับรู้หรือนิยามได้ แต่เป็นความรู้สึกที่จะทำให้พวกเขาต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสในอนาคตภายภาคหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
TBC
No comments:
Post a Comment