Saturday, August 3, 2013

[KnB Fic] Replay - Chapter 3 [Aomine*Kuroko]



Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13

Link : 01/02


03


 
ร่างสูงผิวเข้มตัดกับเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสั้นอันเป็นชุดแข่งประจำของเทย์โคว การเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวราวกับสัตว์ป่าจนยากที่จะมีใครตามสกัดได้ทัน กว่าผู้เข้าแข่งขันอีกฝั่งจะทันรู้ตัวลูกบาสสีส้มอันเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของคนทั้งสนามก็โดนชู้ตลงห่วงไปเป็นที่เรียบร้อย
 
 
“เยี่ยม!”
 
อาโอมิเนะหันมายิ้มให้กับเพื่อนร่วมทีมพร้อมเสียงหัวเราะสดใสราวกับเด็กๆ แขนแกร่งโอบรอบคอเด็กหนุ่มผมสีเขียวที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์เนื่องจากโดนแย่งเป็นฝ่ายทำคะแนน แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มหาได้ถือสาไม่
 
ปี๊ดดด!!
 
เสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันระหว่างรร.มัธยมต้นเทย์โควกับรร.โจเซย์ดังขึ้น โดยเทย์โควเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้แบบคนดูลุ้นสนุกด้วยสกอร์ 98 – 90 และคนที่ทำคะแนนมากที่สุดในแมทช์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดาวรุ่งดวงใหม่ของเทย์โควที่ไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะอยู่แค่ปีหนึ่งเท่านั้น
 
อาโอมิเนะ ไดกิ
 
หลังจากพักฟื้นเพียงวันเดียว อาโอมิเนะก็สามารถกลับมาเล่นบาสเก็ตบอลได้เก่งกาจเหมือนเดิมไม่มีผิด
 
อันที่จริงทั้งโค้ชและพวกรุ่นพี่ยังไม่ค่อยจะเต็มใจให้คนเพิ่งหายป่วยมาลงแข่งหรือแม้แต่มาซ้อมสักเท่าไหร่ แต่พอเจ้าตัวยืนยันว่าการได้เล่นบาสจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ประกอบกับการแข่งขันระดับประเทศนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าการขาดผู้เล่นคนสำคัญไปอาจจะส่งผลให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้
 
ปรัชญาของชมรมบาสเทย์โควก็คือ “ต้องชนะเท่านั้น” จึงไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้
 
และก็เป็นดังคาดเมื่อการแข่งขันสูสีเกินกว่าที่กองเชียร์คนใดจะคิด โดยครึ่งแรกเทย์โควเป็นฝ่ายตามหลังโจเซย์อยู่ถึง 10 คะแนน โค้ชจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนตัวให้อาโอมิเนะลงสนาม
 
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นนั้นส่งผลให้เทย์โควสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ในที่สุด
 
“อาโอมิเนะยอดไปเลย”
 
“สมเป็นซุปเปอร์รุกกีส์”
 
“นี่เด็กปีหนึ่งจริงเหรอเนี่ย”
 
“หมอนั่นทำคะแนนคนเดียวเกือบ 30 แต้มทั้งที่เพิ่งลงมา”
 
“ได้ข่าวว่าเพิ่งหายป่วยนี่ โกหกชัดๆ”
 
เสียงชื่นชมมากมายในฝีมือและความสามารถอันโดดเด่นของเด็กหนุ่มผิวเข้มที่เป็นจุดสนใจของใครหลายคน หากแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้แสดงท่าทีหยิ่งหรือถือตัวแต่อย่างใดเลย
 
จะมีก็แต่ความมุ่งมั่น และความสนุกสนานที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดก็เท่านั้น
 
เด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่บนอัฒจรรย์เพียงลำพัง ก้มลงมองการแข่งขันนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้นและดีใจที่ทีมจากโรงเรียนตนเป็นฝ่ายกำชนะ แต่กระนั้นก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจ
 
ระยะห่างระหว่างสนามบาสเก็ตบอลข้างล่างกับอัฒจรรย์ที่อยู่รอบข้างสนามนี้ช่างดูห่างไกลกันเหลือเกิน
 
มือที่กำแน่นอยู่บนราวเหล็กสั่นไหวระริก สายตามุ่งมั่นจับจ้องเพียงร่างสูงที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมและเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งในและนอกสนาม
 
เขาชอบรอยยิ้มของอาโอมิเนะ รอยยิ้มที่จริงใจและไร้การเสแสร้ง รอยยิ้มที่ราวกับจะสามารถให้โลกทั้งใบของเขาสดใสแค่เพียงได้มอง
 
อาโอมิเนะคุง.. คุณจะรู้ตัวมั้ยครับ
 
ว่าสำหรับผมแล้ว คุณช่างเป็นแสงสว่างที่เปล่งประกายและเจิดจ้าขนาดไหน
 
อยากที่จะยืนอยู่บนสนามแข่งเดียวกันนั้น หัวเราะสนุกสนานไปด้วยกันกับอาโอมิเนะคุงเหมือนกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ
 
อยากให้รอยยิ้มนั้น ส่งมาให้เขาบ้าง อยากให้สายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เขาบ้าง อยากให้อีกฝ่าย มองเห็นเขาเป็นคนๆหนึ่งที่คู่ควรกับการเป็นคู่แข่งและคู่หูคนสำคัญ

 
 
 
 
เด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ซ้อมหลังเลิกชมรมด้วยกันเหมือนเช่นทุกที ดวงตาสีฟ้ามองตามร่างของเด็กหนุ่มในเสื้อยืดสีดำที่กำลังตั้งใจฝึกซ้อมโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่างไม่วางตา จนอีกฝ่ายสัมผัสได้ว่าถูกมองจึงหันมาถาม
 
“หืม? มีอะไรรึเปล่า?”
 
“เปล่าครับ..” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ก่อนจะเอ่ยต่อ “อาโอมิเนะคุงนี่น่าทึ่งจริงๆเลยนะครับ”
 
“หา?”
 
“ถึงจะเก่งขนาดนั้นแล้ว แต่คุณก็ยังอยู่ซ้อมมากกว่าปกติอีก ในหัวคุณนี่มีแต่เรื่องบาสเก็ตบอลเพียงอย่างเดียวจริงๆนะครับ”
 
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงห๊ะ!?” อาโอมิเนะทำหน้าไม่เข้าใจ ซึ่งดูแล้วก็ตลกดี
 
คุโรโกะไม่อาจห้ามชื่นชมหรือแม้แต่ความอิจฉาที่มีต่ออีกฝ่ายได้ คนๆนี้มีร่างกายกำยำสูงโปร่งและกล้ามเนื้อสวยงามได้รูป แขนขาที่เรียวยาวและแข็งแกร่งเหมาะแก่การเล่นกีฬาไม่ว่าชนิดใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาสเก็ตบอลที่ต้องอาศัยความสูง ยิ่งตัวสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเท่านั้น 
 
เพียงแค่ลักษณะทางกายภาพอย่างเดียวก็ทำให้อาโอมิเนะได้เปรียบเด็กม.ต้นคนอื่นมากแล้ว แต่เจ้าตัวยังมีทักษะการเล่นที่ว่องไวและไม่มีใครตามทันได้อีก
 
ถึงอย่างนั้นอาโอมิเนะกลับไม่เคยห่างเหินจากการฝึกซ้อมเลยซักครั้ง แถมยังฝึกหนักกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
 
“แต่ว่านะ ถ้าจะพูดถึงเรื่องน่าทึ่งล่ะก็ ฉันคิดว่านายนั่นแหละที่น่าทึ่งกว่าอีก”
 
คราวนี้เด็กหนุ่มร่างเล็กเป็นฝ่ายไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายบ้าง คนอย่างเขาจะมีอะไรให้อีกฝ่ายต้องทึ่งกัน
 
“สักวันหนึ่ง เรามายืนอยู่บนสนามเดียวกันเถอะนะ เท็ตสึ!” รอยยิ้มจริงใจนั้นประดับอยู่บนผิวสีแทนที่ชุ่มเหงื่อหากแต่กลับดูดี รอยยิ้มที่เขาชอบมากที่สุด
 
“ครับ... ” หากแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าร่างเล็กช่างฝืดฝืนเต็มที ในใจเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยและไม่เชื่อมั่น ว่าจะมีสักวันไหมที่ตนจะได้ไปยืนอยู่เคียงข้างในสนามเดียวกัน
 
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองภาพนั้นแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปยังกระเป๋าตัวเองที่วางอยู่ตรงม้านั่งริมสนาม คุ้ยกุกกักอยู่สักพักก่อนจะหยิบน้ำอัดลมออกมาสองกระป๋องแล้วโยนส่งให้ร่างเล็กที่ยืนนิ่งอยู่กลางสนามอันนึง
 
“เอ้า เหนื่อยแล้ว พักกันเถอะ” ร่างสูงทิ้งกายลงนั่งบนพื้นไม้แล้วยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นจิบ
 
เด็กหนุ่มอีกคนรับกระป๋องเครื่องดื่มนั้นมาก่อนจะวางลูกบาสในมือลงและเปิดของตนบ้าง
 
ฟู่!!
 
เสียงอากาศที่ถูกอัดไว้ภายในกระป๋องระบายออกมาสู่โลกภายนอก พร้อมกับสายน้ำที่พุ่งออกมาจากกระป๋องใส่ใบหน้าของคนที่ถืออยู่เช่นกัน
 
“อุบ..ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังตามมาทันทีกับเหตุการณ์นั้น สื่อให้เห็นว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าของบุคคลหนึ่ง ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคนที่ส่งของสิ่งนั้นให้ตั้งแต่ต้นนั่นเอง
 
“อาโอมิเนะคุง...” เด็กหนุ่มผมฟ้าที่ตอนนี้มีหยดน้ำหวานเลอะเต็มหน้าและเสื้อผ้าจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด นัยน์ตาสีเดียวกันนั้นหรี่มองอีกฝ่ายอย่างเยียบเย็น
 
แต่กระนั้นคนถูกมองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้นทั้งยังแก้ตัว “หืม ก็แก้แค้นเรื่องเป่ายิ้งฉุบเมื่อวันก่อนไงล่ะ ฮ่ะๆๆ” ว่าแล้วก็โยนผ้าขนหนูส่งให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อยพร้อมฉวยโอกาสเอามือขยี้ผมฟูๆนั้นไปหนึ่งรอบ
 
“อย่าคิดมากไปเลยน่ะเท็ตสึ บาสเก็ตบอลน่ะมันต้องเล่นแล้วสนุกสิถึงจะถูกนะ” เด็กหนุ่มผิวแทนพูดพลางหยิบลูกบาสมาหมุนเล่นบนปลายนิ้วอย่างคล่องมือ
 
คุโรโกะลอบยิ้มบางๆให้กับประโยคนั้น “คุณนี่ ปลอบใจไม่ได้เรื่องเลยนะครับ”
 
“พูดมากน่า!” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันกับคำนั้น


 
 
 
“เราจะประกาศผลการทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นสำหรับสมาชิกทีม 3 คนที่ได้เลื่อนชั้นไปยังทีม 2 มีดังนี้....”
 
เมื่อชายวัยกลางคนผู้มีตำแหน่งเป็นโค้ชของชมรมบาสเก็ตบอลเทย์โควทีมที่ 3 เดินเข้ามาพร้อมกับแผ่นกระดาษติดคลิปบอร์ดในมือ สมาชิกทุกคนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ในโรงยิมก็พร้อมใจกันหยุดเพื่อรอฟังสิ่งสำคัญ
 
ชมรมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเทย์โควเป็นชมรมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงไม่แปลกที่จะมีคนอยากสมัครเข้าชมรมเป็นจำนวนมาก และการที่ชมรมมีสมาชิกมากกว่าร้อยคนนั้นทำให้ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะให้ทุกคนได้ลงสนามเหมือนกันหมด และต้องมีการแบ่งระดับของผู้เล่นในชมรมเป็นหลายระดับขั้น เพื่อให้มีเพียงผู้ที่เก่งที่สุดเท่านั้นซึ่งจะเป็นตัวแทนในการแข่งขันระดับประเทศ ส่วนคนที่ฝีมือรองลงมาก็ต้องอยู่ในทีมลำดับชั้นต่ำกว่า
 
โดยสมาชิกใหม่ทุกคนจะต้องเริ่มต้นจากทีม 3 เหมือมือนกันหมด การแบ่งชั้นนี้เพื่อให้ทุกคนต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งการพยายามเพื่อจะเลื่อนขั้นไปอยู่ทีมที่ 1 ให้ได้ และสำหรับคนที่อยู่ทีม 1 เองก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองไม่ให้ฝีมือตกลงจนโดนลดขั้นได้
 
รายชื่อผู้เล่นคนแล้วคนเล่าที่ถูกขานออกมา เจ้าของชื่อนั้นเมื่อได้ยินนามตนก็โห่ร้องแสดงความยินดีที่จะได้ก้าวสู่ระดับขั้นต่อไป ส่วนคนอื่นที่ยังไม่ถูกเรียกต่างก็รอคอยอย่างมีความหวัง
 
“เอาล่ะ หมดแค่นี้”
 
จนกระทั่งชื่อสุดท้ายถูกขานครบถ้วน เกิดความเงียบขึ้นเพียงชั่วอึดใจ ก่อนเสียงร้องดีใจของผู้ที่ผ่านการทดสอบเลื่อนชั้นทั้งหลายจะดังอื้ออึงก้องโรงยิม ต่างคนต่างแสดงความยินดีกับคนอื่นที่ได้ก้าวไปสู่ระดับขั้นต่อไป แม้ว่าทีม 2 จะยังไม่ใช่ทีมที่สูงที่สุดของเทย์โคว แต่ก็มีโอกาสได้เจอคนเก่งๆมากขึ้น และมีโอกาสได้พัฒนาฝีมือมากขึ้นเช่นกัน และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าการฝึกซ้อมของตนนั้นแสดงผลในที่สุด
 
หากแต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งสิ่งนั้นเหมือนกับคำตัดสินชะตาก็ไม่ปาน
 
ในบรรดาเด็กปีหนึ่งที่สมัครเข้าชมรม ร้อยละ 50 จะถอนตัวภายใน 1 อาทิตย์เนื่องจากทนการฝึกซ้อมสุดโหดไม่ไหว และที่เหลืออีกร้อยละ 25 จะถอนตัวไปหลังจากไม่ผ่านการทดสอบเลื่อนขั้นครั้งแรก ส่วนที่เหลือหากไม่ถอดใจหลังจากไม่ผ่านการทดสอบครั้งที่สอง ก็จะเป็นเพียงไม่กี่คนที่สามารถเลื่อนระดับไปจนถึงขั้นทีม 1 ได้
 
อาโอมิเนะ ไดกิ เป็นหนึ่งในเด็กปีหนึ่งไม่กี่คนที่สามารถขึ้นไปยืนในตำแหน่งตัวจริงของทีมหนึ่งได้อย่างภาคภูมิ และทำได้ในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น
 
ส่วนคุโรโกะ เท็ตสึยะ กลับเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเลื่อนขั้นได้แม้แต่ครั้งเดียว

 
 
 
 
ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่ในห้องเรียนว่างเปล่าเพียงลำพัง ใบหน้าซุกซบอยู่กับเข่าที่ชันขึ้นมาแนบลำตัว หยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาสีฟ้าคู่โตลงบนแขนเสื้อนักเรียนจนเปียกชื้น ในมือกำกระดาษแผ่นหนึ่งจนยับยู่ยี่ บนหัวมีเขียนเป็นตัวอักษรชัดเจนว่า ‘ใบลาออก’
 
บางทีมันอาจจะสมควรแก่เวลาแล้ว ที่เขาจะเจียมตัวและยอมรับความจริงเสียที ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ไม่ว่าจะชอบมากเพียงใด แต่สิ่งที่ไม่ใช่สำหรับตัวเองยังไงก็คงไม่มีวันเป็นไปได้
 
บางทีคนอย่างเขาอาจจะไม่เหมาะกับบาสเก็ตบอลตั้งแต่แรก
 
เขาไม่ใช่คนตัวสูง ไม่ได้มีกล้ามเนื้อของคนเล่นกีฬา ไม่ได้มีความว่องไว ไม่ได้ชู้ตแม่น ไม่มีอะไรเลย
 
แล้วเขายังจะหวังลมๆแล้งๆว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ได้เล่นบาสในสนามเคียงข้างคนๆนั้น
 
อยากเจอ...อาโอมิเนะคุง
 
คุโรโกะสะบัดหัวไล่ความคิดที่แวบขึ้นมาในสมองออกไป
 
ก่อนหน้านี้เขามักจะอยู่คนเดียวจนเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว แต่หลังจากได้รู้จักกับเด็กหนุ่มร่างสูงที่มองเห็นตัวตนอันแสนจะจืดจางของเขา การเล่นบาสคนเดียวก็กลับเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
 
จริงอยู่ที่อาโอมิเนะนับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขานับตั้งแต่เข้าร่วมชมรมบาสหรือตั้งแต่เข้าโรงเรียนก็ตาม แต่อีกฝ่ายกลับแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง บุคคลที่เจิดจ้าและเป็นจุดเด่น เป็นที่หมายปองและเป็นเป้าหมายของใครหลายคน มีคนมากมายที่พร้อมจะเป็นเพื่อนและอยู่เคียงข้างทันทีที่เด็กหนุ่มเรียกหา
 
การที่คนอย่างเขาหายไปคงไม่ได้ต่างอะไรกับใบไม้เพียงหนึ่งใบที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านใบนับร้อยนับพันนั่นแหละ

 
 
 
 
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ แต่ก่อนจะไปเขาอยากเอ่ยลาอาโอมิเนะคุงเป็นครั้งสุดท้าย เพราะรู้ว่าหากไม่ใช่ในสนามบาส ไม่ใช่ในโรงยิม การที่จะได้พบได้พูดคุยกันคงไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว
 
“นายมาช้านะเท็ตสึ จะหมดเวลาซ้อมอยู่....หืม...อะไรกัน จะกลับบ้านแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสำหรับเล่นกีฬาเอ่ยทักเมื่อเห็นคนที่ตนกำลังรออยู่เดินเข้ามาในโรงยิม แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงอยู่ในชุดนักเรียนเต็มยศพร้อมทั้งถือกระเป๋ามาด้วยก็ต้องประหลาดใจ ใบหน้าไร้อารมณ์ก้มต่ำไม่กล้าสบตาทำให้ไม่สามารถเห็นรอยสีคล้ำจางๆบริเวณรอบดวงตานั้นได้
 
“อาโอมิเนะคุง ผมคิดว่า..จะลาออกจากชมรมบาสเก็ตบอลครับ” คุโรโกะพยายามบังคับเสียงที่ออกมาให้ราบเรียบเป็นปกติที่สุด
 
“หา!? ทำไมล่ะ!?” เสียงทุ้มถามด้วยความตกใจ เขาหยุดเล่นแล้วหันไปมองอีกฝ่ายเต็มตา
 
“ด้วยความทักษะของผม...อย่าว่าแต่จะได้เล่นในทีมเดียวกับอาโอมิเนะคุงเลย แม้แต่จะไปให้ถึงทีม 2 ก็ยังไม่มีทางเป็นไปได้...” เหตุผลที่ว่ามานั้นทำให้อาโอมิเนะคิดได้ ถึงการทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นของทีม 2 กับทีม 3 ซึ่งมีขึ้นอีกครั้งในวันนี้ และผลเป็นอย่างไรก็คาดเดาได้ไม่ยาก
 
“ผมชอบบาสเก็ตบอล แต่ว่า ผมเองก็อยู่กับทีมมากว่าครึ่งปีแล้ว ผมคิดว่า...คนเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ ถ้าสิ่งนั้นมันไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เหมาะกับเราแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เทย์โควแห่งนี้ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเป็นประโยชน์ต่อใครที่นี่ได้อีก”
 
ความพยายามควบคุมอารมณ์ให้อยู่นิ่งไม่เป็นผล น้ำเสียงที่ปกติจะเย็นชานั้นสั่นพร่าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงก้มลงหลบไม่มองมาทางคู่สนทนา มือเล็กกำสายกระเป๋านักเรียนแน่นราวกับกำลังตัดใจจากสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
 
และเป็นการตัดใจจาก ‘เพื่อน’ คนหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตเช่นกัน
 
ร่างสูงเงียบไปเพียงชั่วอึดใจก่อนจะพูดขึ้นในสิ่งที่คุโรโกะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูด “สำหรับทีมน่ะ ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่ไร้ประโยชน์หรอก ถึงนายจะไม่อาจลงเล่นในสนาม แต่ไม่มีทางที่คนที่อยู่ซ้อมดึกกว่าผู้เล่นทีม 1 อยู่ดึกกว่าใครๆทั้งหมดจะไร้ประโยชน์ไปได้” 
 
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองร่างเล็กกว่านั้นด้วยสายตามั่นคง แสดงถึงความจริงจังในทุกคำพูดของตน “อย่างน้อย การได้มองนายทำแบบนั้นก็ทำให้ฉันนับถือนาย และอยากพยายามให้มากยิ่งขึ้นอีก”
 
“ฉันจะไม่พูดว่าถ้านายไม่ยอมแพ้นายจะทำได้แน่นอน แต่ว่า ถ้านายยอมแพ้ล่ะก็ทั้งหมดมันก็จบเท่านั้น”
 
คำพูดของอาโอมิเนะค่อยๆซึมซับลงไปในหัวของคุโรโกะทีละประโยคๆ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่คนบ้าคนนึงที่ไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากบาสเก็ตบอลแท้ๆ แต่ทำไมคำพูดเหล่านั้นมันถึงได้ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้ขนาดนี้
 
ทั้งที่อีกไม่ได้เหนี่ยวรั้งไม่ให้ไป แต่ก็ให้เหตุผลมากพอที่จะอยู่ แต่ถึงกระนั้น....
 
สมองที่กำลังเรียบเรียงความคิดอันสับสนของตนต้องถูกขัดจังหวะเมื่อมีบุคคลที่สามเดินเข้ามาในโรงยิม
 
“อาโอมิเนะ” เด็กหนุ่มผมสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า เบื้องหลังเขามีเด็กหนุ่มร่างสูงอีกสองคน คนหนึ่งมีผมสีม่วงยาวปรกหน้าถือขนมหวานแบบแท่งมากล่องนึง ส่วนอีกคนใส่แว่นกรอบหนาแถมพกพาของแปลกประหลาดมาด้วย “ก็คิดอยู่ว่าไม่เห็นนายมาสักพักแล้ว ที่แท้มาอยู่ที่นี่เอง”
 
เขาจำได้ว่าทั้งสามเป็นสมาชิกชมรมบาสที่อยู่ทีม 1 เหมือนกันกับอาโอมิเนะ
 
มุราซากิบาระ อัทสึชิ , มิโดริมะ ชินทาโร่ และ อาคาชิ เซย์จูโร่
 
“อ่า ใช่ ในโรงยิมหลักมีคนพลุกพล่านเกินไปน่ะ” เด็กหนุ่มผิวแทนหันไปสนทนากับผู้มาใหม่ทั้งสาม เห็นได้ชัดว่าอาคาชิคุงคนนี้คงเป็นที่เกรงใจของผู้เล่นทีมหนึ่งอยู่ไม่น้อย
 
“นายจะฝึกซ้อมที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” อาคาชิชะงักก่อนจะหันมาทางที่เด็กหนุ่มผมฟ้ายืนอยู่ “นั่นใครน่ะ?”
 
คุโรโกะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตัวตนที่มักจะจืดจางจึงทำให้คนนักที่จะสังเกตเห็นเขาได้โดยที่เขาไม่
ต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับสามารถมองเห็นเขาได้ทั้งที่ยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ
 
“โอ้ ปกติฉันจะอยู่ซ้อมกับหมอนี่ตลอด เขาชื่อเท็ตสึ” อาโอมิเนะกล่าวแนะนำตัวเพื่อนของตน
 
“หืม เรามีคนแบบนี้อยู่ในทีมด้วยเหรอ” มุราซากิบาระ อัทสึชิพูดขึ้นบ้าง เขาเองก็เพิ่งจะสังเกตเห็นร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างอาโอมิเนะเหมือนกัน
 
“อ๋อเขาไม่ได้อยู่ทีมหนึ่ง แต่ยังอยู่ทีมสามอยู่”
 
“หืม...อะไรก็ช่างเถอะ” เด็กหนุ่มผมสีม่วงหมดความสนใจในเวลาอันสั้นก่อนจะหาวน้อยๆแล้วหันไปเรียกเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าที่มาด้วยกัน “กลับกันได้แล้วน่า”
 
นัยน์ตาสีแดงจับจ้องไปที่คุโรโกะอย่างพิจารณา ด้วยสายตาจักรพรรดิ์อันเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวของเขานั้นทำให้เขาสามารถสังเกตเห็นถึงบางสิ่งได้
 
“ไม่... ฉันสงสัยเรื่องของเด็กคนนี้ น่าสนใจดีนี่ คนประเภทนี้ฉันไม่เคยพบมาก่อน”
 
“บางที เขาอาจจะมีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากพวกเราอย่างสิ้นเชิงแอบซ่อนอยู่ก็ได้”
 
 
 
 
 
TBC
 
 
 

No comments:

Post a Comment