Thursday, August 15, 2013

[KnB Fic] Replay - Chapter 15 [Aomine*Kuroko]



Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring :  Aomine x Kuroko 
Rating : PG-13 



Link : 01 / 02 / 03 / 04 / 05 / 06 / 07 / 08 / 09 / 10 / 11 / 12 / 13 / 14



15
นับเป็นโชคดีของทุกฝ่ายที่การบาดเจ็บของคุโรโกะไม่สาหัสมากนัก และอาการไข้ที่แทรกซ้อนมาก็ลดลงได้ทันเวลากับการแข่งขันอินเตอร์ไฮนัดต่อไป


ร่างเล็กที่ถูกเปลี่ยนลงสนามไปในครึ่งหลังสามารถเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแทบไม่มีวี่แววของคนที่เพิ่งหายป่วยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อาคาชิตั้งใจไว้อยู่แล้วเมื่อเขาไม่ได้ประกาศให้ใครรู้ถึงเรื่องที่คุโรโกะถูกทำร้ายหรือต้องเข้าโรงพยาบาล และยอมให้อีกฝ่ายกลับมาฝึกซ้อมเมื่อรอยแผลที่เห็นชัดหายดีแล้วเท่านั้น


ท่ามกลางความไม่ยินดียินร้ายของสมาชิกคนอื่นในทีมที่ไม่ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นับอาโอมิเนะที่รายนั้นดูจะยินดีเป็นพิเศษที่คู่หูกลับมาเล่นได้เหมือนเดิม แต่มีบางคนที่แสดงท่าทางประหลาดใจอย่างชัดเจนที่เห็นเด็กหนุ่มผมฟ้าในสนามแข่งเป็นครั้งแรก ทั้งยังท่าทีไม่พอใจที่เจ้าตัวเพียรเก็บไว้ยามเห็นร่างโปร่งนั้นโลดแล่นอยู่ในสนาม หากแต่ก็ไม่สามารถหลบซ่อนอาการเหล่านั้นไปให้พ้นจากนัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่งที่คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลาได้ 


หลังการแข่งขันสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของเทย์โควเหมือนที่ควรจะเป็น ภายในห้องล็อกเกอร์นักกีฬาที่เกือบจะว่างเปล่าเนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่แยกย้ายกันกลับไปหมดแล้ว ยังเหลือเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งสนทนากันด้วยน้ำเสียงที่โกรธขึ้งและไม่พึงพอใจระหว่างรอคอยอะไรบางอย่าง


“ทั้งที่ส่งทั้งจดหมายเตือนแล้วก็แสดงตัวอย่างให้ดูแล้วแท้ๆ แต่เด็กนั่นยังกล้าโผล่หน้ามาแข่งได้อีก สงสัยคงครั้งหน้าคงต้องหักแขนหรือขาทิ้งซะจะได้สำนึก”


“แต่ตอนนี้อาโอมิเนะก็เกาะติดเจ้าเด็กนั่นแจยังกับหมาล่าเนื้อ จะหาโอกาสอีกคงยากเนี่ยสิ”


“ถ้างั้นก็จัดการให้หมดทั้งสองคนเลยก็สิ้นเรื่อง จะได้เพิ่มเก้าอี้ว่างในตำแหน่งตัวจริงขึ้นอีกหนึ่งที่ไงล่ะ ถึงอาโอมิเนะจะเก่งจริง แต่แค่ขาดหมอนั่นไปเทย์โควคงไม่ถึงกับล่มจมหรอกน่ะ”


“ก็จริงของนาย แต่แบบนั้นอาจจะต้องหาแนวร่วมเพิ่มนะ”


“ยังไงก็ไม่น่าหายากหรอกจริงไหม แค่คนที่ไม่พอใจอาคาชิน่ะรุ่นพวกเรามีออกเยอะไป ถ้ากล่อมเข้าหน่อยก็คงยอมตามแล้ว”


“แบบนั้นมันไม่อันตรายไปหน่อยหรือไง ถ้าอาคาชิรู้ว่าพวกเราทำอะไรลงไปล่ะก็ มีหวังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแหงๆ”


“นายจะกลัวอะไรกับแค่เด็กปีสองที่แค่มีความสามารถจับผิดคนอื่นได้นิดหน่อยกันล่ะ”


เสียงประตูเปิดทำให้พวกเขาหันไปมองอย่างระแวดระวัง แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้นเป็นใคร


“บอกให้คนอื่นเค้ารอแล้วมาสายแบบนี้ได้ไงกันห๊ะ?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นอย่างขุ่นเคืองเมื่อเห็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเต็มยศของโรงเรียนเทย์โควเดินเข้ามา 


“พวกนายเป็นคนนัดให้ฉันมาเจอเองไม่ใช่หรือไง?” เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ทำหน้างุนงงใส่เพื่อนอีกสองคนบ่งบอกว่าใครก็ตามที่เป็นคนนัดหมายครั้งนี้ไม่ใช่เขา


ทั้งสามนิ่งเงียบมองหน้ากันอย่างสับสน แต่แล้วเสียงหนึ่งที่พวกเขาไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลาเช่นนี้ก็ดังขึ้น


“น่าแปลกใจมากจริงไหม ที่พวกนายมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้แบบนี้” เด็กหนุ่มผมสีแดงกับนัยน์ตาสีทับทิมเข้าคู่กันยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า


“อาคาชิ!!?” สามเสียงประสานกันอย่างตื่นตระหนกทันทีที่ร่างโปร่งนั้นก้าวเข้ามาในห้อง เหล่าบุคคลผู้มีชนักปักหลังต่างร้อนตัวกระวนกระวายว่าอีกฝ่ายได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ไปมากน้อยแค่ไหน


อาคาชิ เซย์จูโร่เพียงมองเด็กหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยากจะเดาได้ว่าจุดประสงค์ที่เขามาคือความจงใจหรือจะเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่


“ไม่ต้องห่วง คนที่เรียกพวกนายมาที่นี่คือฉันเอง ถ้าเผื่อสงสัยล่ะก็นะ” เรียวปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อเอ่ยแถลงไข ไม่มีถ้อยคำสุภาพอย่างที่ควรใช้กับผู้มีอาวุโสมากกว่าแต่อย่างใด 


“นี่มันหมายความว่ายังไง อาคาชิ!” หนึ่งในนั้นตะคอกเสียงถามอย่างสงสัย แต่เหงื่อกาฬที่เริ่มไหลนั่นก็แสดงถึงความหวาดหวั่นได้อย่างชัดเจน


เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถาม เพียงแต่พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังสนทนาท่ามกลางงานเลี้ยงน้ำชา หากแต่สายตาที่มองมานั้นกลับเหยียดหยัน “อย่างเดียวที่ฉันคิดผิด ก็คือประเมินความฉลาดของพวกนายต่ำเกินไป” เขาเว้นชั่วครู่ แต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายตอบโต้ “และฉันไม่อยากจะเสียเวลาไปกับมดปลวกมากไปกว่านี้อีก ดังนั้นฉันจะให้ทางเลือก”


มือเรียวชูขึ้นเบื้องหน้า นัยน์ตาจับจ้องยังร่างของคนทั้งสาม เด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าพวกเขาถึงสิบเซนต์แต่กลับส่งรังสีคุกคามมาให้ได้ขนลุกซู่


“หนึ่ง คือล้มเลิกอะไรก็ตามพวกนายที่คิดจะทำ แล้วลาออกจากชมรมไปอย่างสงบซะ แล้วฉันจะถือว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น.... หรือ สอง ถ้าพวกนายกล้าทำร้ายเท็ตสึยะอีกล่ะก็ พวกนายจะได้เห็นว่าฉันคนนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง”


สิ้นคำนั้นหนึ่งในคนที่นั่งอยู่ถึงกับสติขาดผึง เขาลุกขึ้นเถียงด้วยเสียงอันดัง “คิดจะปกป้องเด็กนั่นไปถึงเมื่อไหร่ นายพิสวาสมันมากนักรึไง เหอะ ฝีมือก็ไม่เท่าไหร่ แต่ท่าทางจะเจ้านั่นบำเรอได้ดีสินะถึงได้ติดใจขนาดนั้น!”


ฉึก


เสียงวัตถุบางอย่างลอยเฉียดผ่านใบหน้าของผู้พูดไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปักเข้ากับกำแพงที่อยู่เบื้องหลัง สายตามองตามวัตถุนั้นไปแล้วพบว่ามันคือตะไบเล็บที่มักจะเห็นมิโดริมะพกติดตัวอยู่บ่อยๆ


นัยน์ตาสีทับทิมวาวโรจน์ ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้อาคาชิคือสิงโตที่กำลังนอนหลับอยู่ บัดนี้เขาก็เป็นจ้าวป่าที่พร้อมจะจู่โจมเหยื่อที่น่าสงสารได้ทุกเมื่อแม้ว่าท่าทางของเจ้าตัวนั้นจะยังคงสงบนิ่งก็ตาม


เรียวปากบางวาดขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน เขาลดเสียงลงเล็กน้อยหากแต่ผู้ฟังในห้องนั้นก็ยังได้ยินชัดทุกถ้อยคำ


“เท็ตสึยะ...ในตอนนี้น่ะ มีทั้งความมุ่งมั่น ความพยายาม รวมถึงความสามารถมากกว่าพวกนายสามคนรวมกันเสียอีก ดังนั้นจึงเป็นตัวหมากที่ถือว่ายังมีคุณค่า” 


รังสีคุกคามที่เปล่งออกมาจากร่างนั้นทำเอาคนฟังอยากจะลุกหนีไปซะเดี๋ยวนั้น ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าแถมยังมีแค่คนเดียว 


“ส่วนตัวหมากที่หมดตาเดินแล้วนั้นน่ะ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะเก็บไว้อีกต่อไป”  


แต่สัญชาติญาณบางอย่างบอกพวกเขาว่าไม่ควรจะต่อกรกับคนผู้นี้เป็นดีที่สุด







“แอบฟังคนอื่นมันไม่ดีนะ ไดกิ” อาคาชิพูดขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าของคนทั้งสามที่วิ่งหนีไปตามทางเดินเงียบลงแล้ว ร่างสูงผิวแทนที่แอบอยู่ตรงประตูอีกฝั่งหนึ่งจึงค่อยเผยตัวออกมา ใบหน้าบ่งบอกชัดเจนถึงความไม่พอใจ 


“นี่มันอะไรกันอาคาชิ นายรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วแต่กลับเก็บเงียบไม่ยอมบอกอะไรซักคำเดียวเนี่ยนะ?” 


“ถ้าพูดไปนายก็มีแต่จะทำเสียเรื่องเปล่าๆ ฉันยังไม่อยากให้ผู้เล่นคนสำคัญโดนโทษแบนเพราะไปมีเรื่องชกต่อยหรอกนะ ไดกิ” คำอธิบายพร้อมเอ่ยปรามอย่างทันทีทันควัน เพราะรู้ว่าหากให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนผู้นี้รู้เรื่องก็ดีแต่จะไปแก้ปัญหาด้วยตัวเองแบบโง่ๆเสียมากกว่า จึงได้เลือกที่จะไม่บอกอะไร


“เรื่องนั้นฉันไม่สน ต่อให้โดนโทษแบนก็ช่างปะไร!” อาโอมิเนะตะคอกอย่างโมโห เขาจำหน้ารุ่นพี่พวกนั้นได้ คนที่พูดจาให้ร้ายเท็ตสึเมื่อครั้งก่อนที่ออนเซ็น ตอนนั้นถ้าเขาจัดการเสียให้เด็ดขาด ถ้าเขาไม่ปล่อยให้มุราซากิบาระมาห้ามไว้ เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ และเท็ตสึก็คงไม่ต้องโดนทำร้ายจนบาดเจ็บ


“ถ้านายโดนสั่งพักแข่ง ก็เท่ากับว่าเท็ตสึยะโดนไปด้วยนั่นแหละ” แม้อีกฝ่ายจะขึ้นเสียงใส่ แต่อาคาชิก็ยังคงเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย นัยน์ตาสีแดงสวยคู่นั้นจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง 


“หมายความว่ายังไง!?” เด็กหนุ่มร่างสูงชะงัก


“เท็ตสึยะน่ะคือเงา ซึ่งไม่สามารถมีตัวตนได้ถ้าปราศจากแสง ถ้าไม่มีนายอยู่ในสนามก็เปล่าประโยชน์ที่จะเขาให้ลงแข่ง” อาคาชิพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่านั่นคือข้อเท็จจริงไม่ว่าใครก็ไม่มีทางโต้แย้งได้  


“นั่นคือสิ่งที่นายต้องการรึเปล่าล่ะ ไดกิ?” เขาถามเพราะรู้ดีว่าจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่ไหน รวมทั้งพร้อมจะใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างไม่ลังเล


อาโอมิเนะเงียบไป นั่นแสดงถึงการยอมรับ แม้สันกรามจะบดเข้าหากันแน่นจนเจ็บหากแต่ก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกไปได้ 


“โธ่เว้ย!” กำปั้นสีแทนต่อยเข้าอย่างแรง ไม่ใช่ที่ใบหน้าของคนพูดแต่เป็นกำแพงที่อยู่ใกล้มืออีกฝั่ง ก่อนร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มจะหมุนกายจากไปโดยได้แต่เก็บความขุ่นเคืองที่มีไว้ในใจ







อาคาชิถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย การทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการก็ใช่ว่าจะง่ายไปเสียหมด แต่กระนั้นก็ไม่เคยมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้รวมทั้งอีกคนนึงก็ด้วย


“พวกนายนี่ มีนิสัยชอบแอบฟังกันหมดทุกคนรึไงนะ” เขาเอ่ยกับเด็กหนุ่มผมเขียวผู้ดำรงตำแหน่งรองกัปตันทีมที่เพิ่งจะเดินเข้ามาใหม่ 


“ฉันแค่บังเอิญผ่านมาได้ยินเฉยๆต่างหากล่ะ” มิโดริมะ ชินทาโร่แก้ตัว “แล้วปล่อยพวกนั้นไปจะดีเหรอ อาคาชิ” 


“ยังไงพวกนั้นก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรอยู่ดี” ร่างเล็กกว่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปหยิบตะไบเล็บที่ปักแน่นอยู่บนกำแพงออกมาแล้วยื่นคืนให้กับเจ้าของที่ดูท่าทางไม่ค่อยตื่นเต้นที่จะได้มันคืนสักเท่าไหร่


“แล้วเรื่องของอาโอมิเนะ กับคุโรโกะ พวกนั้นมีอะไรพิเศษต่อกัน นายก็รู้ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรือไง” เด็กหนุ่มซักต่อ


“ฉันนึกว่านายจะเข้าใจดีกว่านี้ซะอีกนะ ชินทาโร่” อาคาชิหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขารู้ว่าตนสามารถเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ได้หากต้องการ แต่เขากลับเลือกที่จะตอบตามตรง “สำหรับแม่ทัพแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าพอใจไปกว่ากองทหารที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจหรอกนะ”


ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นทำให้ต่างฝ่ายทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วจะมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องยื่นมือเข้าไปแทรกกันล่ะ 


“สำหรับนาย พวกนั้นก็เป็นแค่ตัวหมากงั้นสิ” แสงไฟนีออนที่สะท้อนกรอบแว่นตาสีดำพอดิบพอดีนั้นทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ว่าสีหน้าของผู้พูดนั้นเป็นเช่นไร


เด็กหนุ่มผมแดงยิ้ม มีเพียงไม่กี่คนที่ฉลาดพอที่จะทำให้เขาสนุกได้ และเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น คนที่สามารถคาดเดาความคิดบางส่วนเขาได้ 


“แล้วใครว่าไม่ใช่ล่ะ”  


แม้จะยังไม่เก่งกาจพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก







เด็กหนุ่มร่างเล็กยืนพิงกำแพงภายนอกสนามอยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีฟ้าใสเหม่อมองไปยังสวนว่างเปล่าไร้ผู้คนเนื่องจากเวลาผ่านมาพอสมควรแล้วหลังจากการแข่งขันคู่สุดท้ายจบลง


“เท็ตสึ” ในที่สุดคนที่ปล่อยให้เขารออยู่เสียนานก็ปรากฏตัว เด็กหนุ่มหันไปหาเจ้าของเสียงทุ้มที่เรียกชื่อตน


“อาโอมิเนะคุง ไปนานจังครับ” 


“เออ หลงทางนิดหน่อยน่ะ” ร่างสูงยกมือขึ้นเกาหลังคอแก้เก้อ จะบอกได้ยังไงว่าที่เสียเวลาไปนานน่ะไม่ได้หลงทางแต่ไปแอบฟังชาวบ้านเค้ามา


แถมเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมายังทำให้เขาติดใจจนคิดไม่ตกอยู่ถึงบัดนี้


“แล้วเจอรึเปล่าครับ หนังสือที่ว่าลืมไว้น่ะ” คุโรโกะถามเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมามือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูรีบร้อนที่จะกลับไปเอาเจ้าของที่ว่าเสียเหลือเกิน


“เอ่อ.. ไม่เจอ สงสัยคนอื่นหยิบไปแล้วมั้ง ช่างมันเถอะ” อาโอมิเนะลืมไปเสียสนิทว่าสาเหตุที่ตนกลับไปที่ห้องล็อกเกอร์นั้นแต่แรกเพราะตั้งใจไปเอานิตยาสารที่ลืมทิ้งไว้ แต่กลับไปเจออาคาชิ แล้วยังเรื่องของพวกที่เป็นตัวการทำร้ายเท็ตสึพวกนั้น คิดยังไงก็..


“คุณดูแปลกๆไปนะครับ มีอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มหวานเอ่ยขัดจังหวะขึ้นอีกรอบเมื่อเห็นว่าร่างสูงเงียบไปจนผิดปกติ สีหน้าแสดงความเป็นห่วงชัดเจน เขารู้ว่าคงต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทางทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาไปนานขนาดนี้ 


“เปล่า..ไปกันเถอะ” หากแต่อาโอมิเนะกลับไม่ยอมพูดอะไร 







ระหว่างทางบนตั้งแต่รถไฟสถานีแรกจนกระทั่งถึงสถานีสุดท้าย ทั้งสองนั่งรถไฟกลับด้วยกันในความเงียบอันแสนน่าอึดอัดจนแทบจะทนไม่ได้ คุโรโกะรู้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น และความเงียบนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกได้อย่างดี เขาเงยหน้ามองร่างสูงที่นั่งอยู่เคียงข้าง แล้วพบว่าอีกฝ่ายเองก็มองเขาอยู่เช่นกัน แต่เมื่อเขาหันไปมองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นก็จะเบือนหลบทันที  


จนเมื่อถึงปลายทางทั้งคู่ก็ยังเดินต่อด้วยกันในความเงียบ


เขารู้ว่าอาโอมิเนะมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด กระนั้นหากร่างสูงไม่ยอมเอ่ยปาก เขาก็ไม่ได้อยากจะคาดคั้น แม้ว่ามันจะทำให้บรรยากาศย่ำแย่ลงก็ตาม


“เท็ตสึ” เด็กหนุ่มร่างสูงพูดขึ้นในที่สุด ขายาวทั้งสองข้างหยุดชะงักทำให้อีกคนต้องหยุดตามไปด้วย


สำหรับอาโอมิเนะแล้ว การได้รับการยอมรับในฝีมือการเล่นบาสถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาที่เริ่มเล่นบาสเก็ตบอลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่เป็นสิ่งที่เขาชอบและเขาก็ทำได้ดีจนไม่ว่าใครที่เขาเล่นด้วยก็ต้องเอ่ยปากชม 


เมื่อเข้าเทย์โคว ท่ามกลางสมาชิกนับร้อยของชมรม ฝีมือเขาก็ยังคงโดดเด่นไม่แพ้ใคร เขาสามารถเล่นบาสได้ดังใจ ควบคุมลูกได้ตามต้องการ และได้รับการชื่นชมยอมรับจากคนรอบข้างไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน  


แต่เขาไม่เคยรู้เลย ว่าสำหรับเท็ตสึแล้ว มันเป็นเรื่องยากขนาดไหน


ตอนแรกที่รู้จักกัน ถึงแม้จะชอบบาสเก็ตบอลแค่ไหน แต่เท็ตสึก็ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆจากบนอัฒจรรย์ ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันได้ยืนอยู่ในสนามนั้น ตอนที่โดนบอกให้เลิก เท็ตสึจะเจ็บปวดแค่ไหนกัน


จนถึงตอนนี้ ที่ได้สวมเสื้อหมายเลขตัวจริง ถึงแม้สไตล์การเล่นจะไม่เหมือนกับคนอื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสามารถที่มากพอที่จะช่วยส่งให้ทีมคว้าชัยชนะได้ 


กระนั้นตัวตนของเท็ตสึกลับยังไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างอยู่ดี  


แต่ไม่ว่าใครจะว่ายังไง จะโดนต่อว่า โดนทำร้ายแค่ไหนเจ้าตัวกลับยังคงมุ่งมั่นจะก้าวต่อไปในทางที่ตนเลือกอย่างไม่ลดละ


“อาโอมิเนะคุง?” คุโรโกะทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเรียกชื่อตนแล้วแต่กลับเงียบไปซะเฉยๆ 


แทนคำตอบ เด็กหนุ่มร่างสูงกลับรวบกอดร่างเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขนโดยไม่พูดอะไร  สัมผัสได้ถึงร่องรอยของแผลจางๆที่ยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายผอมบางจนราวกับจะแตกสลายได้ง่ายที่ห่อหุ้มความเข้มแข็งมากมายไว้ภายในนี้


อาโอมิเนะไม่เคยรู้เลย ว่าภายใต้แผ่นหลังและไหล่เปราะบางของอีกฝ่าย ต้องทนรับแรงกดดันและความเกลียดชังมากมายเพียงไหน 


ปกติแล้วการกระทำแบบนี้ในที่สาธารณะคุโรโกะคงจะผลักอีกฝ่ายออกพร้อมทั้งของแถมเป็นกำปั้นเข้าซักที่เป็นแน่ หากครั้งนี้เขากลับยอมอยู่นิ่งในอ้อมกอดแกร่งของบุคคลที่ทำให้หัวใจเต้นแรง มือเรียวยกขึ้นโอบกอดร่างสูงกว่าไว้หลวมๆราวกับกำลังปลอบประโลม แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลหรือเข้าใจว่าตอนนี้สิ่งที่รบกวนจิตใจอีกฝ่ายอยู่คืออะไรก็ตาม


มีเพียงความเงียบกับเสียงหัวใจของสองคนที่เต้นเป็นจังหวะเนิบช้า


และความคิดที่ตรงกันโดยไม่รู้ตัวว่า


ต่างฝ่ายต่างอยากจะเป็นที่พึงให้กับอีกฝ่ายให้ได้มากกว่านี้ 
TBC 

No comments:

Post a Comment