Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
05
คุโรโกะ เท็ตสึยะตื่นขึ้นในตอนเช้ารู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทั่วร่างกำลังส่งเสียงประท้วงด้วยความเมื่อยล้า ซึ่งก็เป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่เขาเข้าโปรแกรมฝึกตามที่อาคาชิออกแบบให้ เปล่าประโยชน์ที่จะบ่นและเขาก็ไม่มีความคิดที่จะบ่นแม้แต่น้อย แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่หากเป็นการทำเพื่อจะให้ได้ไปยืนอยู่ในสนามในฐานะตัวจริงแล้วล่ะก็ ไม่ว่าหนักหนาแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันยอมถอยเด็ดขาด
ร่างบางขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงงุนไปบ้างเล็กน้อย รู้สึกดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาจะได้พักผ่อนทั้งจากการเรียนและการฝึกซ้อม เขาเดินลงบันไดมาจากห้องก่อนจะพบภาพที่ไม่คุ้นตาอยู่บริเวณห้องนั่งเล่น
เด็กชายผมสีฟ้าคนหนึ่งนอนหลับอยู่คาโซฟา ในมือถือจอยเกมกดค้างไว้แบบจะหล่นมิหล่นแหล่ นั่นเป็นภาพปกติที่น้องชายคนเดียวของเขาจะเล่นเกมจนดึกดื่นในคืนที่วันรุ่งขึ้นไม่ต้องไปโรงเรียนอย่างวันนี้
แต่ที่ผิดปกติก็คือร่างของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นอนหลับกรนคร่อกๆอย่างไม่คิดเกรงใจอยู่บนพื้นข้างๆกันนั่นต่างหาก
“อิคุมิคุง? อาโอมิเนะคุง? เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย” เสียงทุ้มหวานเอ่ยขึ้นอย่างงงงวย แต่เจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงทั้งสองกลับไม่มีวี่แววว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย ดูจากสภาพแล้วคาดว่าทั้งคู่น่าจะเล่นเกมกันโต้รุ่งแล้วหลับไป
แต่อาโอมิเนะคุงกับอิคุมิคุงรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมาเล่นเกมด้วยกันที่บ้านเขาได้ยังไงไงนี่สิที่ยากจะคาดเดาได้จริงๆ
จะว่าไป จำได้ว่าเมื่อคืนหลังจากซ้อมเสร็จเขากลับบ้านพร้อมกับอาโอมิเนะคุง แล้วก็โดนบังคับให้ขี่หลังอีกฝ่ายกลับบ้านมา แต่ว่า... เหมือนเขาจะจำอะไรไม่ได้หลังจากนั้น แล้วกลับมาถึงบ้านตัวเองได้อย่างไรก็ไม่แน่ใจ
บางทีส่วนที่หายไปของความทรงจำนั่นคงเป็นคำตอบของเหตุการณ์แปลกประหลาดยามเช้าที่ว่านี่
คุโรโกะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังบอกเวลา 8 โมงเช้า ยังไม่ถือว่าสายมากสำหรับวันหยุดแบบนี้จึงตัดสินใจปล่อยให้ทั้งคู่นอนต่อไปก่อน ส่วนตัวเองก็ปีนบันไดกลับขึ้นไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายและขจัดความง่วงให้หมดไป
หลังจากเข้าไปอาบน้ำพร้อมเผลอหลับในห้องน้ำเกือบชั่วโมง พอเดินลงบันไดมาอีกทีทั้งเสียงและสัมผัสที่พุ่งเข้าหาจนเกือบจุกนั่นก็ทำให้รู้ได้ว่าคนที่นอนอยู่เปลี่ยนสถานะจากหลับเป็นตื่นเรียบร้อยแล้ว
“พี่เท็ตสึยะ!!”
ร่างเล็กๆของน้องชายคนเดียวพุ่งเข้ากอดเอวเขาด้วยความรักแต่ศีรษะที่นำมาก่อนนั้นก็กระแทกเข้าที่ท้องพอดิบพอดี
“อิคุมิคุง อรุณสวัสดิ์ครับ” คุโรโกะกอดคนตัวเล็กกลับเบาๆอย่างไม่ถือสาราวกับเป็นการทักทายแบบปกติธรรมเนียมของครอบครัว มือลูบผมสีฟ้าที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นให้ยิ่งฟูเข้าไปอีก แล้วจึงหันไปทักทายแขกของบ้าน “อรุณสวัสดิ์อาโอมิเนะคุงด้วยนะครับ”
“เออ อรุณสวัสดิ์” อาโอมิเนะอ้าปากหาวน้อยๆพลางบิดขี้เกียจแล้วแงะตัวเองขึ้นมาจากพื้น การนอนหลับบนพรมนี่ไม่ดีต่อสุขภาพรองจากการนอนบนเบาะโรงยิมเลยก็ว่าได้ ถึงคราวนั้นจะดีกว่าบ้างตรงที่มีเท็ตสึเป็นหมอนข้างให้นอนสบายขึ้นก็เถอะเขาขยับกายให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อเข้าที่เข้าทางเท่าที่จะทำได้
“อาโอมิเนะคุง มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?” เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านถามขึ้น
“ก็เจ้าเด็กนั่นน่ะสิ” เด็กหนุ่มผิวแทนตอบคำถามนั้นด้วยการชี้มายังจำเลยที่ยังเกาะเอวคุโรโกะอยู่
“หืม? อิคุมิคุง” นัยน์ตาสีฟ้าใสก้มลงมองน้องชายตัวดีที่ส่งสายตาสีเดียวกันเป๊ะมองมาแล้วยิ้มกว้างให้
“ก็พี่ชายมิเนะเล่นเกมปราบปิศาจเก่งมากเลยนี่ฮะ”
คิ้วเรียวสีฟ้าของขมวดมุ่นเข้าไปใหญ่กับคำเรียกชื่อที่สนิทสนมนั้น การที่สองคนผู้อยู่ต่างวัยและวาระนี้จะรู้จักกันได้ก็นับว่าน่าแปลกแล้ว แต่ที่สนิทกันถึงกับเรียกชื่อได้นี่ล่ะ
เด็กน้อยเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตั้งแต่ตอนเจอกับอาโอมิเนะในซอยที่แบกเขามาส่งถึงบ้าน ซึ่งแม้กระทั่งคนที่ถูกกล่าวถึงเองก็ยังประหลาดใจว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน กับเด็กประถมที่ตอนแรกตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับเขาเสียเหลือเกิน แต่แล้วไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้มาลงเอยด้วยการนั่งเล่นเกมโต้รุ่งกันถึงเช้าสองคนได้ ก็แค่เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นแผ่นเกมวางแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะ แล้วเผลอบอกว่าชอบเล่นเกมนี้ตอนอยู่ที่บ้านเท่านั้นเอง
“พี่เท็ตสึยะน่ะไม่เคยเล่นเกมพวกนี้หรอก พี่จะชอบอ่านหนังสือมากกว่า” เขานึกถึงท่าทางของเด็กน้อยเมื่อคืนที่กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นเขาทำท่าเล่นเกมได้อย่างชำนาญจนเคลียร์เควสยากๆไปได้อีกอัน
เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ เจออะไรที่น่าสนใจเข้าหน่อยก็พร้อมจะลืมเรื่องอื่นไปได้อย่างง่ายดาย
จะว่าไปนอกจากบาสเก็ตบอลแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มร่างบางสนใจเรื่องอะไรอื่นอีก จะมีบางครั้งก็เห็นอ่านหนังสือฆ่าเวลาระหว่างรอบ้าง แต่เรื่องเล่นทีวีเกมนี่ยังไงก็จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ
ระหว่างที่เขากำลังนั่งเหม่อถึงคนที่นอนหลับไปแล้วอยู่นั้น ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ตะกายมาแย่งจอยเกมกดไปจากมือตอนที่กำลังสู้กับปิศาจอย่างเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี โดยเจ้าตัวอ้างว่าอยากเป็นฝ่ายเล่นเองบ้าง
และแน่นอนว่าจุดจบไม่สวยนักเมื่อโดนราชาปิศาจร่ายเวทย์ใส่ตูมเดียวดับเสียก่อนเลยต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกรอบ และอีกหลายๆรอบจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้นั่นแหละ
“ก็เลยต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยสินะครับ ขอโทษด้วยครับอาโอมิเนะคุงที่ทำให้ลำบาก ทั้งเรื่องที่มาส่งผมแล้วก็เรื่องของเด็กคนนี้ด้วย” คุโรโกะก้มหัวลงขอโทษอย่างสุภาพพร้อมทั้งบังคับให้อิคุมิที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของตนทำตามด้วย
“พวกนายนี่ ปกติก็ตัวเล็กอยู่แล้วจะต้องก้มหัวทำไมน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรซักหน่อย” อาโอมิเนะมองปฏิกิริยานั้นของสองพี่น้องแล้วก็ต้องลอบเกาศีรษะตัวเองแก้เขินไปด้วย เขาหันไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าตัวเองแทนแล้วเตรียมตัวจะกลับ เหมือนยิ่งอยู่บ้านนี้ ไม่สิยิ่งอยู่กับเท็ตสึนานไปเขาก็ยิ่งทำตัวแปลกไปไม่เหมือนตัวเองขึ้นทุกที
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปส่งอาโอมิเนะคุงกลับบ้านเองนะครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธเมื่อเจ้าตัวเดินนำไปที่ประตูพร้อมใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้ว คุโรโกะหันไปคุยอะไรสองสามคำกับน้องชายก่อนจะออกจากบ้านไปพร้อมกับร่างสูงที่ตามหลังมา
“นายไม่ต้องมาส่งก็ได้นี่ วันอาทิตย์ทั้งทีนอนพักเยอะๆไปเถอะ เดี๋ยววันจันทร์เจออาคาชิซ้อมโหดจนสลบไปอีกหรอก”
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซักหน่อยครับ” ใบหน้าน่ารักพองแก้มน้อยๆอย่างไม่พอใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกมากนักแต่เขาก็อดสังเกตไม่ได้ว่าหากตั้งใจมองให้ดีแล้วใบหน้าที่เคยคิดว่าเรียบเฉยนั้นกลับมีหลากหลายอารมณ์พอสมควร
“หืม งั้นถ้านายเกิดเดินไม่ไหวขึ้นมาจะให้ฉันแบกขึ้นหลังอีกรอบมั้ยล่ะ” อาโอมิเนะแกล้งพูดแหย่เล่นไปแบบนั้นเอง เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายทะนงตัวเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือเสมอ
“.....ถ้าได้แบบนั้นก็ดีนะครับ” คุโรโกะตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
“หา? เมื่อกี้นายว่าไงนะ”
“เปล่าครับ..” ร่างเล็กกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีพิรุธ โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินหรือไม่ก็บื้อเกินกว่าที่จะเข้าใจ
เมื่อเดินมาจนถึงจุดเดิมๆที่ทั้งคู่มักจะแยกกันคนละทางเพื่อต่างคนต่างมุ่งหน้าไปบ้านของตัวเองแล้วก็ต้องเผลอชะงักพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ร่างสูงหันไปมองคนตัวเล็กกว่าเพื่อจะพบว่าอีกฝ่ายก็มองตนอยู่เช่นกันแล้วก็ต้องหลบสายตาวูบ
แล้วทำไมเขาต้องหลบตาด้วยล่ะเนี่ย อาโอมิเนะคิดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง เขาควรจะรีบเอาตัวเองออกห่างสถานการณ์ที่ต้องคอยตั้งคำถามตัวเองอยู่ตลอดดีกว่า คนอย่างเขาไม่ชอบและเคยต้องคิดอะไรยุ่งยากแบบนี้สักที
“แค่นี้พอแล้วล่ะเท็ตสึ มาถึงนี่แล้วฉันกลับบ้านตัวเองถูกแล้วน่า” เด็กหนุ่มผิวแทนหันหลังไปเตรียมจะวิ่งโดยหวังให้อีกฝ่ายไม่ทันปฏิเสธ แต่กลับถูกสัมผัสที่รั้งชายเสื้อตนหยุดไว้เสียก่อน
มือเรียวขาวคว้าชายเสื้อกล้ามสีดำไว้ได้ทัน ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมองพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ย “อาโอมิเนะคุง ขอบคุณมากนะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ช่วงหลายอาทิตย์ต่อจากนั้นความเข้มข้นและความโหดรวมไปถึงความแปลกประหลาดของฝึกซ้อมที่อาคาชิมอบหมายให้คุโรโกะก็ไมได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่การถูกสั่งให้ลงไปในสนามโดยห้ามสัมผัสลูก การนั่งจ้องความสามารถและลักษณะนิสัยของผู้เล่นในสนามคนอื่น ต่อมาเมื่อได้ลงสนามอีกครั้งก็ได้รับคำสั่งให้ปัดบอลจากมือใครก็ตามที่ครอบครองมันอยู่แต่ว่า
“คุโรโกะ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามครองลูก” เสียงเรียบเย็นของอาคาชิเอ่ยขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผมฟ้าทำท่าจะขยับตัวอีกครั้ง
เรื่องที่แปลกที่สุดก็คือคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ตัวเขาได้เลี้ยงบอล เดาะบอลหรือชู้ตบอลลงห่วง ว่าง่ายๆก็คือนอกจากปัดลูกแล้วห้ามสัมผัสหรือครอบครองลูกบาสเก็ตบอลไม่ว่าในกรณีใดๆเป็นอันขาด
และเช่นเคยที่แม้จะมีคนสงสัยเจตนานั้นแต่ก็หามีใครกล้าคัดค้านไม่
.
.
.
.
.
.
.
.
อาโอมิเนะ เดินเข้ามาในโรงยิมเป็นครั้งแรกหลังจากโดนสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการซ้อมใดของคุโรโกะตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อน เขาสังเกตว่าอาคาชิและบรรดาผู้เล่นทีมหนึ่งทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
“อาโอมิเนะคุง?” จริงสิ คุโรโกะก็อยู่ที่นั่นด้วย ทำตัวไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเหมือนเคยจนต้องเผลอสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเขา
“ไดกิ มานี่สิ” ร่างสูงผิวแทนคงยืนรากงอกอยู่หน้าประตูโรงยิมอีกนานหลายชั่วโมง หากเด็กหนุ่มผมแดงไม่เอ่ยเรียกและส่งสัญญาณให้เดินมาหาตน
“นี่มันเรื่องอะไรกันอาคาชิ” มิโดริมะถามขึ้นพลางใช้มือดันแว่นขึ้นไปบนจมูก ไม่เพียงอาโอมิเนะเท่านั้นแต่ผู้เล่นทีมหนึ่งทุกคนรวมทั้งตัวจริงไม่มีใครสักคนที่รู้ถึงเหตุผลของการถูกเรียกรวมตัวครั้งนี้
มีเพียงอาคาชิเท่านั้นที่รู้ถึงแผนการที่ตนคิดอยู่ในใจ เขาหันไปทางเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆก่อนจะเลือกคนเหล่านั้นออกมาห้าคน
“วันนี้ฉันจะให้คุโรโกะลงแข่งกับพวกนาย” ในบรรดาประโยคที่พวกเขาคิดอยู่นั่นคงเป็นคำที่ไม่มีใครคิดว่าอาคาชิจะพูดมากที่สุด คุโรโกะ เท็ตสึยะที่ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่การฝึกซ้อมแปลกๆ แถมยังไม่มีทักษะจำเป็นในการเล่นบาสเก็ตบอลอะไรสักอย่างจะแข่งกับผู้เล่นทีมหนึ่งของเทย์โควได้อย่างไร
ถึงแม้ในบรรดาผู้เล่นที่อาคาชิเลือกมานั้นจะไม่ได้รวมถึงตัวจริงอย่างมิโดริมะ อาโอมิเนะ หรือมุราซากิบาระก็ตาม แต่คนอื่นๆที่อยู่ในทีมหนึ่งก็ใช่ว่าจะฝีมือกระจอกเสียเมื่อไหร่
“ไดกิ นายไปอยู่ทีมเดียวกับคุโรโกะด้วย” เด็กหนุ่มผมแดงหันไปพูดกับอาโอมิเนะ นั่นดูจะเป็นสถานการณ์ที่ทำให้สูสีขึ้นมาบ้าง ถ้าจะไม่มีคำสั่งต่อมา “พวกนายสองคนจะต้องแข่งกันแบบสองต่อห้า”
“หา!?” เสียงอุทานด้วยความไม่เข้าใจ ประหลาดใจ และตื่นตะลึงดังไปทั่วทั้งโรงยิม “หมายความว่ายังไงอาคาชิ”
“อาคาชิ!!” อาโอมิเนะพยายามจะค้าน การได้แข่งแบบห้าต่อหนึ่งไม่สิห้าต่อสองนี่ก็น่าตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเท็ตสึเสียมากกว่า เด็กหนุ่มร่างเล็กแบบนั้นจะไปทำอะไรผู้เล่นที่ใกล้เคียงตำแหน่งตัวจริงของเทย์โควได้
“ไดกิ ถ้านายเป็นห่วงคุโรโกะนักก็เล่นให้เต็มฝีมือก็แล้วกัน” อาคาชิไม่สนใจต่อเสียงคัดค้านทั้งหลาย
“อาโอมิเนะคุง ไม่เป็นไรครับ” คุโรโกะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มร่างสูงเป็นห่วงเขามากกว่าเรื่องที่จะต้องแข่งกับคนห้าคนในคราวเดียว เขาจับแขนอีกฝ่ายเบาๆ ตั้งใจจะสื่อให้รู้ว่าตนเองตั้งใจมากแค่ไหน
“เท็ตสึ พูดอะไรของนาย...”
“บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้” เด็กหนุ่มผมแดงหันไปพูดกับอาโอมิเนะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันความสนใจไปยังผู้คัดค้านอีกกลุ่มหนึ่ง
ถึงอาคาชิจะมีความเป็นผู้นำที่สูงจนน่าทึ่ง และมีบางครั้งที่โค้ชเองยังต้องยอมตามที่เด็กหนุ่มพูด แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่งเท่านั้น การจะสั่งให้รุ่นพี่ชั้นปีสูงกว่าทำตามได้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับทีมหนึ่งซึ่งแต่ละคนล้วนมีความสามารถและความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีสูงไม่แพ้กันแล้ว
“ถ้าพวกรุ่นพี่ชนะการแข่งขันนี้ได้ ผมจะยอมมอบตำแหน่งตัวจริงให้กับคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุด” น้ำเสียงและแววตาสีแดงสดนั้นไม่มีคำว่าล้อเล่นแต่อย่างใด
ผู้เล่นทั้งห้าคนมองหน้ากัน การแข่งแบบสองต่อห้าบ้าบออะไรกัน แล้วยังเจ้าเด็กผมฟ้าที่แวบไปแวบมาราวกับล่องหนได้นั่นอีก ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังแข่งกับอาโอมิเนะ ไดกิ เพียงคนเดียวเสียมากกว่า
ถึงจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นทีมหนึ่ง แต่การต้องยอมเป็นตัวสำรองตลอดชาติแล้วปล่อยให้เด็กปีหนึ่งอย่างอาโอมิเนะและอาคาชิเดินข้ามหัวไปนั้นเป็นการยากที่จะรับได้ เมื่อโอกาสเปิดขึ้นจึงยากเกินกว่าจะปฏิเสธ
“ตกลง อาคาชิ เริ่มกันเลย”
และแล้วการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น ทีมสีเหลืองอันประกอบไปด้วยผู้เล่นทีมหนึ่งของชมรมบาสเทย์โควจำนวนห้าคนสู้กับทีมสีแดงซึ่งมีเพียงอาโอมิเนะ ไดกิกับคุโรโกะ เท็ตสึยะเพียงสองคนเท่านั้น
เมื่อเสียงสัญญาณนกหวีดดัง อาโอมิเนะก็ถูกผู้เล่นสามคนตามประกบในทันที ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นไม่มีใครสนใจจะประกบคุโรโกะด้วยซ้ำ ทีมรุ่นพี่ซึ่งเป็นฝ่ายแย่งลูกได้ก่อนวิ่งเข้าหาแป้นบาสของฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
อาโอมิเนะพยายามวิ่งฉีกตัวเองออกจากการประกบเท่าที่จะทำได้ แต่การถูกคนสามคนประกบไม่ห่างยิ่งทำให้ขยับตัวได้ยากจนอย่าว่าแต่จะเข้าไปแย่งลูกบาสได้เลย
แต่แล้วจู่ๆลูกบาสเก็ตบอลก็ถูกส่งเข้ามาในมือเขาได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังอยู่ในการครอบครองของทีมคู่แข่งอยู่แท้ๆ
“เฮ้ย!?” เด็กหนุ่มร่างสูงอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ แต่สัญชาติญาณในการเล่นบาสของเขาก็ทำให้สามารถส่งลูกลงห่วงและสามารถทำคะแนนนำไปก่อนได้
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกบาสไปอยู่ในมือหมอนั่นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ท่ามกลางความงุนงงของผู้เล่นทีมสีเหลืองทั้งหมดและรวมถึงอาโอมิเนะเองด้วย มีเพียงเจ้าของนัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่งเท่านั้นที่เริ่มยิ้มอย่างพึงใจ
เกมเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยทีมรุ่นพี่เป็นฝ่ายส่งลูกก่อน ฝ่ายส่งลูกเหลือบมองในสนามเห็นเด็กหนุ่มผิวแทนโดนประกบและอยู่ไกลเกินกว่าจะมาแย่งลูกได้จึงส่งบอลให้เพื่อนอีกคนอย่างง่ายๆ
แต่แล้วลูกส่งนั้นกลับถูกตัดกลางครัน บอลไม่ได้ไปถึงมือผู้รับแต่กลับพุ่งไปหาอาโอมิเนะที่เพิ่งฉีกหนีออกมาได้พอดี จังหวะการส่งลูกที่เหมาะเจาะและแม่นยำขนาดนั้นคงเรียกว่าความบังเอิญไปไม่ได้
ลูกบาสถูกชู้ตลงห่วงไปอีกครั้ง และคราวนี้เขาเห็นชัดเจนว่าใครที่เป็นคนพาสลูกนั้นมาให้ตน
“เท็ตสึ!” เขาหันไปมองเด็กหนุ่มผมฟ้าที่เพิ่งส่งลูกข้ามสนามมาให้ตนอีกครั้ง ร่างเล็กเข้าตัดลูกระหว่างการส่งของฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น และส่งลูกต่อมาให้เข้ามือเขาได้พอดิบพอดีราวกับจับวาง จังหวะการรับส่งของพวกเขาทั้งสองเข้ากันได้อย่างลงตัวราวกับรู้ใจกันมาเนิ่นนาน
คะแนนที่เริ่มนำห่างออกไปเรื่อยๆทำให้ฝ่ายรุ่นพี่เริ่มจะใช้การเล่นที่รุนแรงขึ้น การกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในกีฬาที่ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ในสนามฝั่งเดียวกันและประกบกันอย่างใกล้ชิดตลอดโดยไม่มีตาข่ายหรือเน็ตกั้นกลางอย่างบาสเก็ตบอล
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขารู้แล้วว่าใครที่คอยขโมยลูกไปจากฝ่ายตน ร่างกายที่เหมือนจะล่องหนนั้นค่อยๆปรากฏขึ้นให้เห็นทีละน้อยๆเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ถึงกระนั้นก็ยังไม่ชัดเจนนักจนใครในสนามสามารถสังเกตได้
แต่กับเด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงซึ่งคอยดูอยู่ข้างสนามตลอดเหตุการณ์นี้หากไม่ใช่สิ่งที่คาดไว้อยู่แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินจะเดานัก
สไตล์การเล่นที่ใช้ประโยชน์จากตัวตนที่เกือบจะล่องหนของคุโรโกะ เท็ตสึยะในการเข้าแย่งชิงลูกบาสเก็ตบอลและส่งต่อให้เพื่อนร่วมทีม แต่เมื่อเวลาในการแข่งขันผ่านไปประสิทธิภาพของความสามารถนั้นก็จะค่อยๆลดลงและผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามก็จะเริ่มสังเกตเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“เอาล่ะ พอแค่นี้” อาคาชิให้สัญญาณหยุดแข่งโดยอ้างเหตุผลเรื่องความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นและคะแนนที่นำห่างจนยากจะตามทันได้โดยเก็บสาเหตุที่แท้จริงไว้กับตัว
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยจุดอ่อนของคุโรโกะ ยังก่อน
ผู้เล่นทั้งสองทีมมารวมตัวกันกลางสนามด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายทีมรุ่นพี่นั้นต่างช็อคและไม่อยากเชื่อสายตากับผลการแข่งขันที่ออกมา ส่วนฝ่ายอาโอมิเนะและคุโรโกะนั้นแม้จะมีอาการหอบอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่
“การแข่งบ้าบอไร้สาระสิ้นดี ฉันเลิกล่ะ!” หนึ่งในคนเหล่านั้นพูดขึ้น ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วพากันเดินออกไปจากโรงยิมอย่างหัวเสีย
“เท็ตสึ นายนี่ยอดไปเลย ทำไมฉันไม่เห็นรู้ว่านายทำแบบนั้นได้ด้วยน่ะหืม?” เด็กหนุ่มผิวแทนยกแขนขึ้นกอดคอเด็กหนุ่มร่างเล็กอีกคนด้วยความชื่นชม อาจจะพูดได้ว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ถูกอีกฝ่ายช่วยเหลือในการแข่งขัน
“อาคาชิคุง อาโอมิเนะคุง” คุโรโกะไม่รู้จะพูดอะไรดี นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถทำประโยชน์ในสนามได้ เขารู้สึกประหลาดใจ ตื่นเต้น และตื้นตัน ความรู้สึกนั้นมันเอ่อล้นอยู่ในอกไปหมดจนไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดใดๆได้
“พวกนายสองคนทำได้ดีมาก วันนี้พอแค่นี้ ส่วนพรุ่งนี้เจอกันที่โรงยิมหนึ่งทั้งคู่ ห้ามไปสายล่ะ” เด็กหนุ่มผมฟ้าหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน
โรงยิมหนึ่ง ก็ที่นั่นมัน.....
“ยินดีต้อนรับสู่ทีมหนึ่งนะ เท็ตสึยะ”
อาคาชิพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างสูงผมสีม่วงและสีเขียวอีกสองคนที่เหลือ ทิ้งไว้เพียงคนสองคนที่ยังคงยืนตะลึงค้างกับสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยเมื่อสักครู่นั่น
TBC
No comments:
Post a Comment