Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
Warning : ระวังจะเผลอ....
13
“แค่มาสอบถามอาการน่ะครับ” คุโรโกะไม่ได้สะดุ้งกับคำถามและท่าทีนั้น เขาเพียงมองตอบด้วยใบหน้าเฉยชาและนัยน์ตาที่อ่านไม่ออกเหมือนเคย
“หมอนั่นรู้อยู่แล้วล่ะสิว่าใครเป็นคนทำ บ้าเอ๊ย!” เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่ชอบทำตัวมีลับลมคมนัยอยู่ตลอด แต่เหนืออื่นใดคือเขาโมโหตัวเอง ที่ไม่ยอมสังเกตเห็นสัญญาณใดๆทั้งที่มันลอยอยู่ตรงหน้า ทั้งเรื่องที่อาคาชิสั่งให้เขาคอยดูแลเท็ตสึ หรืออย่างเมื่อวันก่อนที่เจ้าตัวเองก็เห็นอะไรแปลกๆคงจะเป็นคนที่ตามมาแน่ๆ
มือเรียวเอื้อมมาจับมือของเขาที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเผลอกำไว้แน่นจนเล็บแทบจะบาดลงไปในผิวเนื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยกขึ้นแนบริมฝีปากแล้วจุมพิตลงบนฝ่ามือที่มีรอยบาดสีแดงจางๆนั้น
“เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของอาโอมิเนะคุงหรอกนะครับ” ดวงตาสีฟ้าที่มองมาอย่างจริงใจและไร้ซึ่งคำตำหนิใดๆ เหมือนเช่นเคยที่เท็ตสึอ่านใจเขาออกได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาดีเกินไปหรือตัวเองแสดงออกมากจนอ่านง่ายเกินไปกันแน่
“เท็ตสึ” มือใหญ่เลื่อนไปประคองใบหน้าที่ประดับด้วยรอยแผลไว้แผ่วเบา อีกฝ่ายไม่ได้ขยับหนีเมื่อเขาเคลื่อนเข้าไปใกล้จนห่างไม่ถึงคืบ เขาเลยถือเอาเองว่านั่นเป็นคำอนุญาต แล้วแนบริมฝีปากลงบนไปบนกลีบปากบางนั้นอย่างอ่อนโยน
จุมพิตอ่อนหวานและนุ่มนวลในคราแรก มีเพียงริมฝีปากสองคู่ที่สัมผัสคลอเคลียกันไปมาเบาๆ
จนกระทั่งเมื่อเรียวลิ้นของร่างสูงกว่าลากไล้ไปตามริมฝีปากบางจนโดนเข้ากับมุมปากบริเวณที่ยังเป็นแผลพอดี คุโรโกะเผลออุทานออกมา แล้วจังหวะนั้นเองที่ลิ้นร้อนฉวยโอกาสแทรกเข้าไปตักตวงความหอมหวานในโพรงปาก หยอกล้อเล่นไปมากับลิ้นเล็กที่ค่อยตอบสนองอย่างเก้อเขิน
อุณหภูมิภายในห้องแลดูจะค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกนาทีที่จูบนั้นดำเนินต่อไปอย่างควบคุมไม่ได้ ร่างสูงค่อยๆดันร่างเล็กกว่าให้เอนลงบนเตียงแล้วปีนตามขึ้นไปทาบทับไว้ ตลอดเวลานั้นยังคงไม่ยอมละจากริมฝีปากหวานแม้แต่ชั่ววินาทีเดียว
คุโรโกะรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ เขาพยายามยกมือขึ้นดันไหล่กว้างออกให้พ้นตัวแต่ไม่เป็นผล เรี่ยวแรงที่เคยมีพลันหดหายราวถูกสูบไปพร้อมกับจุมพิตเมื่อครู่เสียหมดจนไม่อาจต้านทานได้ มีเพียงเสียงครางเครือที่ดังอู้อี้อยู่ในลำคอเป็นการประท้วง
มือใหญ่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อเชิ้ตเพื่อสัมผัสกับผิวขาวเนียนเรียบ แต่แล้วก็ต้องสะดุดเมื่อสัมผัสกับผ้าพันแผลจนร่างบางต้องนิ่วหน้าสะดุ้งตัวแรงด้วยความเจ็บ
ปฏิกิริยานั้นเหมือนจะทะลุผ่านเข้าไปในมโนสติอันพร่ามัวของอาโอมิเนะได้ในที่สุด
ภาพของร่างเบื้องใต้ที่กำลังพยายามหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างหนัก ริมฝีปากสีแดงเข้มบวมช้ำเผยอออกปรากฏคราบน้ำลายจางๆที่หลงเหลือจากรสจูบ ใบหน้าขาวนวลแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อนหรี่ปรือลงอย่างเย้ายวน เส้นผมยุ่งเหยิงแผ่กระจายบนหมอน แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงรัวเร็วทุกจังหวะการหายใจ
ไม่เหลือเค้าลางของเด็กหนุ่มแสนจืดจางผู้มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยและตายด้านเลยซักนิด
ความรู้สึกบางอย่างไปรวมกันที่อวัยวะเบื้องล่าง และอาโอมิเนะรู้ตัวว่าถ้าเขาไม่ลุกออกจากร่างบางภายในวินาทีนี้เขาอาจจะเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรอย่างที่สุดลงไปก็ได้
“อะ!?” ร่างสูงรีบชักมือกลับแล้วลุกออกอย่างรวดเร็วราวกับต้องของร้อน พยายามอย่างยิ่งที่จะสงบสติอารมณ์โดยการไม่หันไปมองต้นเหตุแห่งความปั่นป่วนทั้งปวงที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงคนไข้ไม่ไกลนั่น
ความเงียบอันน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ทั้งสองไม่มีใครกล้าหันมามองหน้ากัน ไม่มีใครรู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จนกระทั่งได้ยินเสียงคนบนเตียงขยับลุกขึ้นนั่งอาโอมิเนะจึงกล้าหันกลับไป
คุโรโกะอยู่ในสภาพที่..เรียบร้อยขึ้นกว่าเมื่อกี้ ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นกลับมาเฉยชาเช่นเดิมแล้วแม้จะยังมีสีแดงเรื่อที่แก้มปรากฏให้เห็นอยู่จางๆก็ตาม
“อ่า..นี่วนิลลาเชคของนาย ที่ร้านสะดวกซื้อข้างใต้มันไม่มีขายฉันเลยเดินออกไปซื้อข้างนอกมาให้ เลยกลับมาช้าหน่อย” เด็กหนุ่มผิวแทนที่ไม่รู้จะหันไปมองทางไหนดีก็เหลือบไปเห็นแก้วเครื่องดื่มที่เกือบจะถูกลืมไปแล้วพอดี เขายกแก้วน้ำขึ้นมาส่งให้แล้วพบว่าวนิลลาเชคที่ว่าแทบจะละลายกลายเป็นน้ำเหลวๆไปหมดแล้ว
“ขอบคุณครับ อาโอมิเนะคุง” มือบางรับแก้วมาถือไว้ในมือแล้วลงมือดูดโดยไม่สนใจว่ามันเจ้าสิ่งนั้นยังคงสภาพไอศครีมปั่นไว้อยู่หรือไม่ ยังไงนี่ก็เป็นของโปรดของเขานี่นา
“ไม่ต้องรีบนะ กินให้หมดแล้วเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้” เขาอดขำไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาดูดวนิลลาเชคจนน่ากลัวว่าจะสำลักไปซะก่อน บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ดูจะค่อยๆจางหายไป
“อาโอมิเนะคุง ไม่ต้องลำบากไปส่งผมก็ได้นะครับ”
“หา? นายบ้าไปแล้วหรือไง สภาพนายตอนนี้จะกลับบ้านเองไหวเรอะ แล้วไหนจะเพิ่งโดนใครไม่รู้รุมทำร้ายมา ไม่แน่พวกนั้นอาจจะดักรอนายอยู่อีกก็ได้!” อาโอมิเนะโวยวายอย่างเหลืออดใส่คนที่ยังทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ได้ อยากจะหันไปตบหัวฟูๆเรียกสติสักทีด้วยซ้ำ ติดก็แต่มือยังไม่ว่างเพราะต้องทำหน้าที่แบกคนที่ว่านั้นมาส่งบ้านซะนี่
คุโรโกะอดทึ่งกับความสามารถในการใช้ประโยคยาวๆแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนของคู่หูตนไม่ได้ แต่ความหมายในประโยคนั้นก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจเช่นกันกันเมื่อรู้สึกว่าอาโอมิเนะยังคงโทษตัวเองที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาอยู่
ถึงกระนั้นการที่อีกฝ่ายเป็นห่วงเขาขนาดนี้ก็ทำให้ดีใจได้ไม่น้อย
“หือ? วันนี้เจ้าเปี๊ยกไม่อยู่รึไงน่ะ?” อาโอมิเนะถามเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงจุดหมายแล้วพบว่าภายในบ้านที่ปิดไฟมืดไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆปรากฏอยู่เลย ร่างสูงวางภาระบนหลังลงที่โซฟาห้องรับแขกแล้วขยับแขนยืดกล้ามเนื้อเล็กน้อย
“วันนี้อิคุมิคุงไปเข้าค่ายน่ะครับ” เจ้าของบ้านตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางลุกขึ้นทำโน่นทำนี่อย่างไม่เจียมสังขารว่าตัวเองเป็นคนป่วยเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาหมาดๆ
“งั้นนายก็อยู่บ้านคนเดียว?”
“ก็คงอย่างงั้นแหละครับ”
“งั้นคืนนี้ฉันจะค้างที่นี่ด้วย!” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน จริงอยู่ที่ว่าหน้าที่เขาจบลงตั้งแต่พาร่างเล็กมาถึงหน้าประตูบ้านได้โดยสวัสดิภาพ แต่เขาก็กังวลเกินกว่าจะปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้คนเดียวทั้งที่เพิ่งโดนใครก็ไม่รู้ทำร้ายมาเมื่อเย็น
คุโรโกะเงยหน้ามองแขกของบ้านที่เพิ่งจะตัดสินใจค้างคืนโดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าของบ้านเลยซักนิด ใช่ว่าเขาจะรังเกียจอะไรหรอกนะ “ตามสบายครับ แต่อย่านอนกรนจนผมนอนไม่หลับก็แล้วกัน”
“อือ..” เสียงครางแหบพร่าที่ดังอยู่ข้างหูปลุกให้อาโอมิเนะรู้สึกตัวตื่นจากห้วงนิทรา ตอนแรกเขายังไม่ลืมตาขึ้นจึงได้ยินแต่เสียงที่มาจากคนข้างตัว คิดว่าเท็ตสึคงจะนอนละเมอเลยไม่ได้สนใจอะไรแล้วตั้งใจจะนอนหลับต่อ
แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเมื่อร่างบางในอ้อมแขนซุกกายเข้ามาหามากกว่าเดิม ที่ผิดปกติยิ่งกว่านั้นคืออุณหภูมิของร่างนั้นที่สูงจัดจนน่าตกใจนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มปรือขึ้นแล้วพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่ซบอยู่กับแผ่นอกเขานั้นมีเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มไปหมด เขาทาบมือลงไปบนหน้าผากบางแล้วก็ต้องรีบชักมือออกเพราะอุณหภูมิที่วัดได้นั้นร้อนจี๋ราวกับมีเพลิงลุกไหม้อยู่ภายใน
“เฮ้ เท็ตสึ นายมีไข้นี่! ตื่น!” เขาพยายามปลุกอีกฝ่ายแต่ไม่เป็นผล ร่างเล็กนั้นยังคงมีสีหน้าที่ทรมานพร้อมทั้งละเมอครางออกมาเป็นระยะๆทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่หลับแต่กำลังไม่ได้สติเพราะพิษไข้
อาโอมิเนะพลิกร่างในอ้อมแขนให้นอนหงาย พบว่าไม่เพียงแต่ใบหน้าทั่วทั้งร่างกายก็มีเหงื่อออกจนชุ่มไปหมด แล้วร่างบางนั้นก็เริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวกำลังหนาวทั้งที่ร่างกายกลับร้อนรุ่มไปหมด
ต่อให้เขาไม่ใช่หมอหรือผู้เชี่ยวชาญก็พอจะรู้ว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ ไม่สิมันแย่มากๆเลยด้วยซ้ำ
เคยได้ยินมาก่อนว่าคนที่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียเลือดมากอาจจะมีอาการไข้ขึ้นแทรกซ้อนตามมาได้เพราะร่างกายอ่อนแออันเนื่องมาจากพิษบาดแผล บางทีนี่อาจจะเป็นกรณีเดียวกันนั้น
แต่เนื่องจากอาโอมิเนะเองไม่ใช่คนที่ป่วยบ่อยนัก และยิ่งไม่เคยเป็นฝ่ายพยาบาลใครมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรครั้งสุดท้ายที่เขาป่วยเท็ตสึเป็นคนมาเฝ้าไข้ อีกฝ่ายทำยังไงบ้างนะ
แค่เอาข้าวกล่องที่เต็มไปด้วยไข่ต้มมาให้กิน แล้วก็บังคับให้กินยา
โอเค เขาต้องยอมรับกับตัวเองว่าประสบการณ์นั้นไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเท่าไหร่กับครั้งนี้
นัยน์ตาเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเต็มที ถ้าโทรไปถามซัทสึกิตอนนี้จะหลับรึยังนะ หรือถ้าไม่หลับอาจจะโดนยัยนั่นเฉ่งจนหูชาก็เป็นได้แต่ก็ไม่มีทางเลือก มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของเด็กสาวที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กทันที เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีคนรับสาย แสดงว่าอย่างน้อยเจ้าตัวก็คงยังไม่นอน
“อาโอมิเนะคุง! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วรู้ซะบ้างสิตาบ้า! ถ้าฉันนอนน้อยเดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดีน่ะ” เสียงแหลมตวาดผ่านลำโพงออกมาแบบที่คิดไม่มีผิด โชคดีที่เขารู้ตัวก่อนเลยชิงถือหูโทรศัพท์ไว้ห่างตัวพอสมควร
“ซัทสึกิ อย่าเพิ่งโวยวายเลยน่า ฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือเธอหน่อย”
“อะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้ทำการบ้านให้น่ะ ถ้าตอนนี้มันไม่ทันแล้วนะอาโอมิเนะคุง”
“ไม่ใช่ยังงั้น โธ่ ฟังกันบ้างสิ คือว่าเท็ตสึไม่สบาย ตัวร้อนมากเลย ฉันไม่รู้จะทำยังไงเนี่ย”
“เอ๋ เท็ตสึคุงน่ะเหรอ?”
“เออ เมื่อก็ก็ยังดีๆอยู่ จู่ๆก็ไข้ขึ้นตัวร้อนจัด แต่ท่าทางจะหนาวมาก เหงื่อก็ออกเต็มไปหมดน่ะ”
“อะ..โอเค เข้าใจแล้ว” โมโมอิรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดในน้ำเสียงนั้นจึงยอมเก็บคำต่อว่าไว้แล้วบอกสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ “ถ้าเหงื่อออกก็ต้องเช็ดตัวให้เหงื่อแห้งแล้วก็เปลี่ยนเสื้อด้วย ถ้าตัวร้อนก็ต้องเอาผ้าชุบน้ำลดไข้วางที่หน้าผากแล้วก็คอยเช็ดตัวเรื่อยๆ แต่ถ้าหนาวก็ต้องทำตัวให้อุ่นเช็ดตัวเสร็จแล้วก็รีบห่มผ้า แล้วก็อย่าลืมให้ทานยาลดไข้ด้วย...” เด็กสาวสาธยายวิธีการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นเสียยาวเหยียดจนอาโอมิเนะต้องรีบหากระดาษมาจดเพราะกลัวจะจำได้ไม่หมด
“ขอบใจนะซัทสึกิ ฉันเป็นหนี้เธอหนนึงเลย”
“จ้าๆ นายดูแลเท็ตสึคุงให้ดีก็แล้วกัน ไม่งั้นเจอกันคราวหน้าฉันเอานายตายแน่” หล่อนกล่าวทิ้งท้ายแล้ววางหูไป อันที่จริงซัทสึกิคงอยากมาดูแลเท็ตสึเองมากกว่าแต่เพราะตอนนี้มันดึกมากแล้วจะให้เด็กผู้หญิงออกมาเดินคนเดียวก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่
เด็กหนุ่มร่างสูงเดินออกไปนอกห้องสักพักแล้วกลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่นกับผ้าขนหนูผืนเล็กและยาลดไข้ครบตามคำแนะนำของโมโมอิ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาไปค้นหาของเหล่านี้มาจากที่ไหนและสภาพของบ้านตอนนี้จะเป็นยังไงก็อย่าเพิ่งไปสนใจเลยแล้วกัน
เขาวางของลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสหยาบของเนื้อผ้าไล่ไปตามหน้าผากใบหน้าและอาการสะดุ้งน้อยเมื่อไปโดนตรงรอยแผลฟกช้ำ
เมื่อจัดการส่วนที่มองเห็นได้จนหมดแล้ว อาโอมิเนะก็นิ่งทำใจอยู่นานกว่าจะเอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดนอนของอีกฝ่ายออกทีละเม็ดๆ ต้องคอยเตือนสติตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการช่วยลดไข้ให้คนป่วยไม่ใช่เรื่องอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผิวขาวเนียนที่มีหยาดเหงื่อประปรายค่อยๆเผยสู่สายตาทีละน้อย
จะว่าไปตอนเข้าค่ายเก็บตัวก็เคยมีเหตุการณ์อะไรคล้ายๆแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ระดับความอันตรายต่อหัวใจถือว่าเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว ตอนนั้นแค่จับอีกฝ่ายใส่ยูกาตะเขาก็แทบแย่แล้ว มาครั้งนี้ต้องค่อยๆเช็ดตัวให้นี่มันต้องใช้ความอดทนขนาดไหนกันนะ
ร่างบนเตียงตัวสั่นขึ้นมาเมื่อเสื้อถูกถอดออกและร่างกายสัมผัสกับความเย็นของอากาศโดยตรง ทำให้เขารู้ว่าควรจะรีบลงมือก่อนจะทำให้คนป่วยอาการหนักยิ่งกว่าเดิม
มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนบางๆที่ลากไล้ไปตามแผ่นอกเนียนเรียบเรื่อยลงมาจนถึงหน้าท้องและเอวบอบบางกั้นไม่ให้มือเขาสัมผัสกับผิวขาวๆนั้นโดยตรง แต่กระนั้นความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างก็ยังซึมซับผ่านมาจนรู้สึกได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะอีกฝ่ายกำลังมีไข้อยู่ก็เป็นได้
เขากลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก และความคิดที่อยากจะก้มลงไปใช้เรียวลิ้นเลียหยาดน้ำที่เกาะพราวบนร่างนั้นก็ยิ่งทำให้กระหายมากขึ้นไปอีกยิ่งตอนที่ต้องถอดกางเกงนอนออกแล้วค่อยๆเช็ดไปตามเรียวขาทั้งสองข้างโดยพยายามไม่จ้องมองส่วนกลางลำตัวของอีกฝ่ายที่อยู่ภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์ตัวบางนั่นยิ่งทำให้เขานับถือในความอดทนของตัวเองมากขึ้น
กว่าจะจัดการร่างกายท่อนล่างเสร็จเขาก็แทบอยากจะเอาผ้าชุบน้ำที่ว่ามาอุดจมูกตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอด กว่าจะหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้งก็ตอนที่จับอีกฝ่ายเปลี่ยนชุดนอนตัวใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ
มือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากเนียนเพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้ง เขานิ่วหน้าเมื่อพบว่ามันยังคงร้อนอยู่ แต่อย่างน้อยลมหายใจที่เคยหอบถี่กระชั้นอย่างทรมานก็ค่อยสงบลงบ้างแล้ว
ดูเหมือนบททดสอบความอดทนที่ฟ้าหยิบยื่นให้ในคืนนี้จะยังไม่หมดสิ้น เมื่อความพยายามในการปลุกคนป่วยขึ้นมาเพื่อกินยาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ร่างบางเพียงแต่ส่งเสียงละเมอออกมาแต่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
อาโอมิเนะก้มลงมองยาลดไข้ในมือ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจะให้อีกฝ่ายกินยาให้ได้เหมือนครั้งที่ตัวเองเคยป่วยแล้วโดนเท็ตสึบังคับให้กินยาแก้ไข้ ผิดก็แต่ครั้งนี้คู่กรณีไม่ตื่นมาเล่นเป่ายิ้งฉุบด้วยกันจึงไม่มีทางเลือกอื่น
เขาหยิบยาใส่ปากตัวเองตามด้วยน้ำแล้วประคองร่างคนบนเตียงขึ้นมาก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป ปลายนิ้วบังคับให้ริมฝีปากบางอ้าออกก่อนจะสอดลิ้นตามลงไป ส่งผ่านเม็ดยาขมๆและน้ำลงสู่ลำคอ เขาแช่จูบไว้เนิ่นนานจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายกลืนยาลงไปหมดเรียบร้อยแล้ว
คุโรโกะสำลักน้อยๆเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก ดูเหมือนจะเผลอรังแกคนป่วยไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเขาโดนอีกฝ่ายปั่นหัวจนแทบบ้าในคืนนี้ก็ทำให้รู้สึกผิดน้อยลงไปเยอะ
เขาจัดแจงเก็บข้าวของออกไปให้พ้นทางโดยการกองรวมๆกันไว้ที่พื้นห้อง ง่วงเกินกว่าจะเก็บกวาดอะไรในตอนนี้ทั้งสิ้น เอาไว้พรุ่งนี้ตอนตื่นมาค่อยทำก็แล้วกัน
ร่างสูงปืนขึ้นไปนอนบนเตียง จัดการรวบร่างโปร่งบางมากอดไว้แนบอก ใจชื้นขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิจากร่างกายนั้นแม้จะยังอุ่นๆแต่ก็ไม่ได้ร้อนเท่าก่อนหน้านี้ มือหยาบเกลี่ยปอยผมออกจากหน้าผากเนียนแล้วปาดเช็ดเหงื่อที่ยังซึมอยู่นิดๆให้ก่อนจะจุมพิตหน้าผากขาวนั้นแผ่วเบา
“รีบหายไวๆล่ะ เท็ตสึ”
เพราะถ้าต้องพยาบาลคนป่วยต่ออีกคืน มีหวังไม่เขาก็หมอนี่คงใครคนใดคนหนึ่งอาจจะไม่รอดชีวิตก็เป็นได้
TBC
No comments:
Post a Comment