Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
08
สัปดาห์แห่งการสอบผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าและแสนทรมาน ต้องขอบคุณเลกเชอร์ของโมโมอิและความอดทนในการจ้ำจี้จ้ำไชสอนของคุโรโกะ ทำให้อาโอมิเนะสามารถทำข้อสอบได้เป็นส่วนใหญ่ แม้จะต้องลุ้นเหนื่อยอยู่บ้างแต่เขาก็คิดว่าตัวเองทำได้ดีพอที่จะสอบผ่านนั่นแหละ
“ฮ้า สอบเสร็จซะที” เด็กหนุ่มร่างสูงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเดินออกมาจากห้องสอบ ขาทั้งสองพาตัวเองไปยังห้องเรียนปี 1 – A โดยอัตโนมัติเพื่อรอรับเด็กหนุ่มร่างเล็ก ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมานอกจากเวลาเรียนซึ่งทั้งสองอยู่คนละห้องกันแล้ว เรียกได้ว่าพวกเขาแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
เพราะภารกิจการติวหนังสือทำให้ต้องผลัดกันไปค้างบ้านอีกฝ่ายทุกวันเพื่อให้ได้ผลสูงสุด ดังนั้นตอนเช้าก็จะเดินมาโรงเรียนด้วยกันเสมอ และเนื่องจากช่วงสอบทางโรงเรียนจะสั่งให้งดกิจกรรมชมรมทุกชนิด เวลาว่างหลังเลิกเรียนของทั้งสองจึงหมดไปกับการช่วยกันติวหนังสือ และเมื่อหมดวันทั้งสองก็จะกลับบ้านด้วยกันเหมือนเช่นปกติ
“เท็ตสึ ไปกันได้รึยัง” อาโอมิเนะตะโกนเรียกด้วยเสียงไม่เบานัก และถึงแม้เจ้าของชื่อจะมีตัวตนที่จืดจางสำหรับเพื่อนในห้องแค่ไหน แต่เมื่อมีเด็กหนุ่มผิวเข้มผู้ควบตำแหน่งนักบาสเก็ตบอลคนดังของโรงเรียนมายืนโหวกเหวกเรียกชื่ออยู่ทุกวันนั้นก็ทำให้ประสิทธิภาพของความจืดจางนั้นลดลงได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
“อยู่แค่นี้ไม่เห็นต้องตะโกนเลยครับ” คุโรโกะพูดอย่างไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันแสนโฉ่งฉ่างและไม่สนหัวใครของเด็กหนุ่มร่างสูง เดิมทีเขาเกลียดการเป็นจุดสนใจและไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับความจืดจางของตัวเอง แต่ช่วงหลังมานี้ความจืดจางอันเป็นเอกลักษณ์กลับถดถอยลงไปเพราะการกระทำของอีกฝ่าย
โดยเฉพาะเมื่อมือใหญ่สีแทนนั่นเอื้อมมากุมมือเขาไว้อย่างหลวมๆแต่มั่นคง การกระทำที่ในครั้งแรกนั้นทำให้หน้ากากไร้อารมณ์ที่เขามักจะสวมอยู่โดยไม่รู้ตัวหลุดออกได้อย่างสิ้นเชิง ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีแข่งกับใบเมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วงที่เรียงรายอยู่ริมสนามระหว่างทางที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่ผ่านไปมาซึ่งเจ้าของมือใหญ่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจ
และแม้ใบหน้าจะร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย แต่เจ้าของมือเล็กที่ถูกกุมไว้ก็ไม่มีความคิดที่จะดึงมือตัวเองออกจากความอบอุ่นนั้นแม้แต่น้อย
สำหรับคนที่ตาดีพอที่จะสังเกตเห็น ภาพของคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างสนิทสนมกลายเป็นภาพที่เกิดขึ้นบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนในกลุ่มนั้นกลับก่อให้เกิดความไม่พอใจที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ทั้งสองเดินมาถึงทางแยกเดิมๆ มือทั้งคู่ยังคงจับกันไว้ไม่ปล่อย สองขาต่างชะงักหยุดนิ่ง ร่างสูงก้มลงสบตากับร่างเล็กกว่าอย่างเคยชิน ปกติพวกเขาจะผลัดกันไปค้างบ้านอีกฝ่าย แต่เมื่อสิ้นสุดการสอบลงแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีก
แม้จะมีการจูงมือถือแขน หรือกระทั่งการจูบ แต่การที่ทั้งคู่นอนค้างบ้านอีกฝ่ายกลับไม่ได้มีอะไรล่วงเกินไปมากกว่านั้น โดยเวลาในค่ำคืนของทั้งสองมักจะหมดไปกับการถามตอบและการติวหนังสือจนกระทั่งใครคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อความง่วงหลับไปเสียก่อน
หลายต่อหลายครั้งที่อาโอมิเนะจะใช้เวลานานเกินไปในการตอบคำถาม จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีคุโรโกะก็ชิงหลับฝันหวานไปก่อนเสียแล้ว แล้วเขาก็จะต้องอุ้มร่างบางนั้นขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะจัดที่ให้ตัวเองขึ้นไปนอนกอดอีกฝ่ายได้อย่างไม่อึดอัด ซึ่งพอเด็กหนุ่มร่างเล็กตื่นมาในตอนเช้าก็จะไม่ได้พูดอะไรที่เห็นตัวเองโดนเอามาใช้ต่างหมอนข้าง เขาจึงทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไร
ไม่ว่าสำหรับคนภายนอกจะมองอย่างไร แต่สำหรับคนทั้งคู่แล้วความสัมพันธ์ในตอนนี้กลับเรียกได้ว่าสุดแสนจะคลุมเครือ
“เอ่อ..” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดความเงียบ สองมือยังกุมกันอยู่แต่ก็รู้ว่าได้เวลาต้องแยกกันไปคนละทางแล้ว แต่กลับรู้สึกไม่อยากปล่อยมือข้างนี้ไปเลย
นัยน์ตาสีฟ้าสบมองคู่สีน้ำเงินเข้มแล้วเป็นฝ่ายลดระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลงจนเหลือเพียงอากาศกั้น ร่างเล็กเขย่งปลายเท้าขึ้นแตะจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากแล้วผละออกพร้อมกับเป็นฝ่ายคลายมือออกก่อน
“ผมต้องไปทางนี้ ขอตัวก่อนนะครับ” เขาเว้นวรรค ทำท่าจะเดินจากไปแต่ก็หันกลับมา “แล้วเจอกันใหม่ครับ อาโอมิเนะคุง”
เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินจากไปทิ้งไว้เพียงอีกคนที่ยังยืนรากงอกอยู่จุดเดิมนั้นอีกหลายนาที
ทั้งที่การจูบกันอย่างในคราวนั้นหากจะเรียกว่าเป็นการกระทำระหว่างเพื่อนกันก็ออกจะเกินไปไม่น้อย แต่ถ้าจะให้นิยามว่าระหว่างพวกเขานั้นคืออะไรก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ในตอนนี้
หนึ่งคนในนั้นรู้เพียงแต่ว่าทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่อยากคิดให้ปวดหัว ส่วนอีกคนกลับยิ่งยากที่จะรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น
เมื่อหมดฤดูสอบก็ย่างเข้าสู่ช่วงปิดเทอม อันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสำหรับเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่กับสมาชิกชมรมบาสของรร.มัธยมต้นเทย์โคว เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับแจ้งถึงโปรแกรมเก็บตัวฝึกซ้อมซึ่งระดับความโหดของมันนั้นเทียบไม่ได้กับตอนเปิดเทอมเลยซักนิด
สมาชิกแต่ละทีมจะแยกย้ายกันไปฝึกตามสถานที่ต่างๆกัน ซึ่งสำหรับทีมหนึ่งนั้นพวกเขาได้ไปเพิ่มความแข็งแรงและฝึกความอดทนกันบนภูเขาแห่งหนึ่ง
“คนที่ขึ้นไปถึงที่พักคนสุดท้าย จะถูกเพิ่มโปรแกรมฝึกซ้อมให้เป็นสองเท่า” เสียงประกาศิตจากโค้ชดังขึ้นหลังจากรถบัสพาพวกเขามาหยุดตรงตีนเขา แม้จะยังมีถนนให้รถสามารถวิ่งต่อไปได้ แต่เห็นได้ชัดว่าคำสั่งเมื่อครู่ดูไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเป็นแน่ เด็กหนุ่มแทบทุกคนมองหน้าเพื่อนร่วมทีมราวกับจะแช่งชักให้อีกฝ่ายมีอันขาเดี้ยงตกเขาไปหรืออะไรทำนองนั้น
เมื่อโค้ชส่งสัญญาณให้เริ่มวิ่งขึ้นเขาได้ ต่างคนต่างก็โกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิตเพราะเกรงว่าจะได้รับตำแหน่งสุดท้ายอันทรงเกียรติที่มาพร้อมกับของรางวัลเป็นโปรแกรมฝึกซ้อมที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น
กลุ่มที่นำไปก่อนคือตัวจริงคนสำคัญของทีมหนึ่งอย่างอาโอมิเนะ มุราซากิบาระ และมิโดริมะที่ตามหลังทั้งสองคนอยู่เล็กน้อย แล้วจึงตามมาด้วยคนที่เหลือทั้งรุ่นพี่ปีสองและปีสามที่เกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนเด็กปีหนึ่งอีกสองสามคนที่เหลือรั้งท้ายรวมไปถึงคุโรโกะด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาคุโรโกะก็ไม่ใช่คนที่มีพละกำลังทางด้านร่างกายเหนือกว่าคนอื่นอยู่แล้ว แม้จะมีใจมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แต่สภาพร่างกายก็ไม่ได้อำนวยให้ ดังนั้นการจะไล่ตามคนอื่นให้ทันจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าสองเท่า
เส้นทางขึ้นภูเขามีทั้งต้องปีนทางลาดชัน วิ่งผ่านป่าหนาทึบ ลุยในแอ่งโคลนและอื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากคนทำเส้นทางคงไม่ได้คิดเผื่อว่าจะมีใครบ้าพอจะเดินเท้าขึ้นมาทั้งที่มีทางให้รถวิ่งขึ้นได้หรอก แม้แต่สำหรับอาโอมิเนะที่นำมาเป็นคนแรก ว่าจะขึ้นมาถึงด้านบนก็เล่นเอาเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“นายมาช้าสุดนะ เท็ตสึยะ” อาคาชิที่ไร้วี่แววของเหงื่อสักหยดพูดขึ้นกับร่างเล็กที่กำลังนั่งหอบตัวโยนเพราะไม่มีกำลังพอจะยืนไหวหลังจากปีนขึ้นมาถึงเป็นคนท้ายสุด หากเป็นคนอื่นแล้วคงจะไม่มีใครสังเกตเด็กหนุ่มผมฟ้าที่แสนจะจืดจางและคงจะปล่อยเลยไป แต่ไม่ใช่กับสายตาเฉียบคมของคนผู้นี้
“เพิ่มโปรแกรมฝึกเป็นสองเท่า อย่าลืมซะล่ะ” เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินจากไป ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีบทลงโทษนี้อาจจะไม่ได้มาจากโค้ช แต่เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีแดงผู้นี้เสียมากกว่า
การฝึกที่ปกติก็โหดอยู่แล้ว เมื่อต้องเพิ่มจากเดิมเป็นสองเท่าจึงใกล้เคียงกับนรกเลยก็ว่าได้ กว่าจะหมดวันก็ไม่อาจแยกออกแล้วว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกายที่ปวดระบมมากกว่ากันแน่
หลังจากการฝึกซ้อมอันหนักหน่วง การได้แช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายให้สบายตัวจะเรียกได้ว่าราวกับเป็นสวรรค์ก็คงไม่ผิดนัก ยังดีที่โรงแรม..หรือจะเรียกให้ถูกก็คือบ้านพักที่พวกเขามากันนั้นยังมีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งขนาดได้มาตรฐานพอที่เด็กหนุ่มสิบกว่าคนจะลงไปแช่พร้อมกันได้อย่างไม่อึดอัด
และเนื่องจากที่พักนี้ไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขา จึงแทบจะเรียกได้ว่ายึดบ่อน้ำร้อนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวก็ไม่ผิดนัก
“ฮ้า สบายจัง” เด็กหนุ่มผิวเข้มที่แช่อยู่ในบ่อบิดคลายกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นให้คลายตัวไปพร้อมกับสายน้ำร้อน สายตาเหลือบไปเห็นร่างเล็กที่เพิ่งจะล้างตัวเสร็จพอดีจึงโบกไม้โบกมือเรียก “เฮ้ เท็ตสึ มานี่สิ” คุโรโกะเดินเข้าไปหาแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งที่ขอบบ่อ ก่อนจะ..
ตูม!
เสียงน้ำสาดกระจายโครมใหญ่ที่ไม่ใช่เพราะสมาชิกชมรมคนใดคนหนึ่งที่กำลังตั้งท่าจะกระโดดน้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ่อ แต่เป็นร่างเล็กๆของเด็กหนุ่มผมฟ้าคนนึงที่โดนฉุดจนตกลงไปในบ่อน้ำร้อนโดยไม่ทันตั้งตัวต่างหาก
“แค่กๆๆๆ” ใช้เวลาสักพักนึงกว่าเด็กหนุ่มคนที่ว่าจะโผล่หัวขึ้นมาพ้นน้ำได้อีกครั้งพร้อมกับอาการสำลักเมื่อดื่มน้ำเข้าแทนอากาศจนเกือบเต็มปอด
และอาการต่อมาหลังจากฟื้นตัวได้ ก็คือการซัดกำปั้นเข้าที่หน้าท้องแข็งๆของคนที่กำลังนั่งหัวเราะตัวงออยู่กับผลงานของตนจนต้องเอามือกุมท้องตัวงอด้วยอาการจุกไปแทน
“แค่กๆๆๆ เจ้าบ้าเท็ตสึ!” เสียงสำลักอันคล้ายคลึงราวกับเป็นการบ่งบอกถึงกรรมที่ตามทันไวเสียยิ่งกว่าติดจรวด อาโอมิเนะโวยวายใส่อีกฝ่ายโดยไม่ได้สำนึกเลยซักนิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“สมน้ำหน้าครับ เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” คุโรโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับมือขวาที่เตรียมพร้อมเป็นกำปั้นเพื่อป้องกันตัวเองกรณีว่าเด็กหนุ่มร่างสูงจะคิดเล่นอะไรแผลงๆอย่างเช่นจับเขากดน้ำขึ้นมาอีก
ไม่มีใครรู้ว่าอาโอมิเนะนั้นไม่ได้คิดจะจับอีกฝ่ายกดน้ำจริง หรือว่าเปลี่ยนใจเพราะเห็นท่าทีอันเสี่ยงต่อการต้องใช้กล้ามท้องรับหมัดที่ความแรงไม่แพ้กระสุนปืนนั่นอีกรอบกันแน่ แต่เขาก็ยอมรามือแล้วเอนหลังแช่น้ำต่อแม้จะยังระแวงอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะทำอะไรแล้วคุโรโกะจึงค่อยๆยอบตัวลงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าอย่างที่ควรจะทำตั้งแต่แรกได้ในที่สุด
อุณหภูมิของน้ำแร่อุ่นๆที่โอบล้อมและค่อยๆซึบซับเข้าสู่ผิวกายทีละน้อย ตัดกับอากาศภายนอกที่ค่อนข้างจะเย็นแม้จะยังไม่ถึงกับมีหิมะตก ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินและเคลิบเคลิ้มไปในเวลาเดียวกัน
ร่างโปร่งบางจมตัวเองลงในบ่อจนเหลือเพียงส่วนคอกับศีรษะเท่านั้นที่ขึ้นเหนือน้ำ ความร้อนทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ค่อยๆขึ้นสีระเรื่อทีละน้อยแต่เจ้าตัวก็รู้สึกสบายเกินกว่าจะทันสังเกต เปลือกตาบางค่อยๆปิดลงช้าๆเมื่อเอนหัวพิงโขดหินตรงขอบบ่อทำให้ไม่ทันรู้สึกถึงอาการวิงเวียนศีรษะที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุดสติทั้งหลายก็หลุดลอยไป
คุโรโกะค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครังกับอากาศที่เย็นขึ้นกว่าตอนที่อยู่ในห้องอาบน้ำ เสียงเอะอะของใครหลายคนดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทที่ยังทำงานไม่เต็มที่นัก เช่นเดียวกับนัยน์ตาที่ยังคงพร่ามัวค่อยๆลืมขึ้นเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆกายที่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่จำความได้
เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนฟูกในห้องพักที่ทุกคนใช้นอนรวมกัน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆนอนเรียงรายอยู่ให้เห็น ฟังจากเสียงโวยวายนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคงมีบางคนอยู่ข้างนอกประตูกระดาษสาที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเก็บเสียงนั่น
“หืม ฟื้นแล้วเหรอเท็ตสึ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากอีกทาง เมื่อมองไปก็เห็นอาโอมิเนะเดินมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำอยู่ในมือ
“อาโอมิเนะคุง?” คุโรโกะพยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับโดนอีกฝ่ายเอาผ้าเปียกชื้นที่แช่อยู่ในกะละมังน้ำอุ่นวางโปะใส่หน้าพร้อมกับเอามือดันให้เขานอนลงไปด้วยพร้อมกัน คนที่นอนอยู่บนฟูกทำหน้างุนงงเหมือนสติยังไม่เข้าที่ดี คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อยกับความทรงจำที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“จะอะไรจู่ๆนายก็วูบไปในบ่อน้ำร้อนน่ะสิ เท็ตสึ เมื่อไหร่จะเลิกฝืนตัวเองแบบนี้ซะที ถ้าไม่ไหวก็น่าจะบอกกันให้รู้สิ เล่นเป็นลมไปแบบนั้นฉันใจหายแทบแย่น่ะ” เด็กหนุ่มผิวแทนบ่นยาวเหยียดพร้อมเอามือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากแล้วถอนหายใจเบาๆ “ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไข้ นอนไปสักพักเดี๋ยวก็คงหาย”
อันที่จริงเขารู้สึกดึขึ้นมาแล้วแม้จะยังมึนหัวอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังคำคัดค้านและทำตาดุใส่เมื่อเห็นเขาทำท่าจะลุกอีกรอบ คุโรโกะจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนอนลงไปอย่างว่าง่าย “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
อาโอมิเนะเอามือลูบเรือนผมสีฟ้านั้นอ่อนเบาๆ สัมผัสนั้นให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่นและเย็นสบายในเวลาเดียวกันจนเผลอเอนหัวเข้าหา “คอแห้งไหม จะเอาอะไรรึเปล่า”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าคอแห้งจริงอย่างที่ว่า คงเพราะเพิ่งขึ้นจากบ่อน้ำร้อนแล้วยังไม่ได้ดื่มอะไรเข้าไป “นิดหน่อยครับ งั้นขอเป็นโพคาริแล้วกัน”
“งั้นรอนี่ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” มือสีแทนผละออกไปช้าๆพร้อมกับสัมผัสที่หายไป ทำให้ร่างเล็กเกือบรู้สึกเสียใจที่เลือกตอบไปแบบนั้นขึ้นมา หากแต่จะเปลี่ยนใจคว้าไว้ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อตอนนั้นเด็กหนุ่มร่างสูงหมุนกายเดินออกไปจากห้องเรียบร้อย
นัยน์ตาสีฟ้าเสมองบานประตูกระดาษที่ว่างเปล่า ที่ซึ่งแผ่นหลังของใครคนนึงเพิ่งจะเดินลับไป เขาลอบถอนหายใจก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นนั่ง
“นายควรจะนอนลงไปนะ” เป็นอีกครั้งที่เสียงใครบางคนดังมาจากด้านหลัง ทำให้เขารู้ว่าประตูทางเข้าห้องนั้นไม่ได้มีทางเดียวอย่างที่คิด เขาหันไปมองผู้มาเยือนคนใหม่แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง
“อาคาชิคุง?” ร่างของเด็กหนุ่มผมแดงที่ก้าวเข้ามาหาแล้วหยุดอยู่ห่างไปเล็กน้อย คุโรโกะแหงนหน้ามองคนที่ยังคงยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกเหมือนเช่นเคย
“ไดกิน่ะ... เป็นคนอุ้มนายออกมาจากห้องอาบน้ำ หมอนั่นเป็นห่วงนายแล้วก็ทำเรื่องเอะอะโวยวายเสียใหญ่โต แถมยังเกือบจะไปมีเรื่องกับโค้ชซะอีก เพราะบอกว่าให้นายฝึกหนักเกินไปจนร่างกายทนไม่ไหว...” อาคาชิพูดเรียบๆราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสภาพอากาศทั่วไป นัยน์ตาสีแดงสดจับจ้องมายังคนที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนฟูกแล้วเอ่ยถาม “นายไม่ไหวแล้วงั้นหรือ เท็ตสึยะ?”
ยากที่จะบอกได้ว่าผู้ถามนั้นต้องการจะสื่ออะไร และหวังคำตอบแบบไหนจากคำถามนั้น แม้ถ้อยคำจะฟังดูเหมือนเป็นห่วงแต่ความกดดันแปลกๆนั้นกลับทำให้รู้สึกตรงกันข้าม
“ผมไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” คุโรโกะตอบพร้อมค้อมหัวลงเล็กน้อย จึงไม่ทันเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มอีกคนที่ยิ้มออกมาอย่างพึงใจ แม้การที่ไดกิไปก่อเรื่องกับโค้ชจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่การแสดงออกของร่างสูงอันมีต้นเหตุมาจากคนๆนี้ยิ่งทำให้น่าสนใจขึ้นไปอีก
“ถึงงั้นก็เถอะ ไดกิน่ะ ไปบอกกับโค้ชว่าให้เลิกลงโทษนายเรื่องฝึกหนักสองเท่า ฉันก็เลยเสนอให้หมอนั่นรับโทษไปแทน แบบนั้นดีมั้ยล่ะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน หากแต่คนฟังกลับไม่ขำด้วยเลยสักนิด
“ไม่ครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาโอมิเนะคุง ผมต้องรับผิดชอบเอง” ใบหน้าขาวเงยขึ้นอีกครั้ง ความจริงจังฉายชัดในแววตา
คงเป็นการยากสำหรับใครสักคนที่จะห้ามตัวเองไม่ให้เหยียดยิ้มกว้างอย่างพอใจไปมากกว่านี้ เมื่อบางสิ่งนั้นเป็นไปตามที่ต้องการเกือบจะทั้งหมด แต่สำหรับอาคาชินั้นไม่ใช่ ความเยือกเย็นที่ได้จากการฝึกฝนเล่นเกมหมากรุกจนช่ำชองนั้นทำให้เขายังคงสีหน้าเช่นเดิมได้ไม่เปลี่ยนแปลง
“อืม.. แต่ว่าไดกิก็รับข้อเสนอนั้นไปแล้ว อย่างง่ายดายซะด้วย ทำให้ฉันสงสัยนะ..” นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมายังนัยน์ตาสีฟ้าใสอีกครั้ง คราวนี้อาคาชิย่อตัวลงมาอยู่ในระดับสายตา มือเรียวเชยคางมนขึ้นเบาๆ “ที่หมอนั่นยอมทำถึงขนาดนี้ มันเพราะอะไรกันแน่นะ เท็ตสึยะ”
คุโรโกะเบือนใบหน้าตัวเองหลบจากปลายนิ้วที่สัมผัสอยู่นั้น ดวงตาหลบวูบไม่ยอมมองคู่สนทนาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพราะว่าอาโอมิเนะคุงเป็นคนใจดี แล้วก็ซื่อบื้อชอบทำอะไรโดยไม่คิดน่ะสิครับ”
“หืม นั่นสินะ” อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขายอมผละมือออกแล้วลุกขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ถึงกระนั้นก็ยังสังเกตเห็นร่างเล็กที่ถอนลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
อาคาชิเหลือบมองเงาสะท้อนของใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา “ดูเหมือนว่าฉันคงต้องไปแล้ว นายก็นอนพักไปซะ แล้วค่อยเจอกันใหม่พรุ่งนี้นะ เท็ตสึยะ” เขาเอ่ยทิ้งท้ายแล้วก้าวออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับตอนเข้ามา ทิ้งอีกฝ่ายไว้กับความสับสนและไม่เข้าใจในการกระทำของตน
TBC
No comments:
Post a Comment