Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
04
“ยังใช้ไม่ได้คุโรโกะ เริ่มใหม่ตั้งแต่แรกเลย” เสียงสั่งการจากข้างสนามไม่ได้ทำให้การแข่งหยุดลงแต่อย่างใด มีเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ดูจะกลมกลืนไปกับผู้คนในสนามเท่านั้นที่หันมาทางเจ้าของเสียงนั้น
ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผลจากการกระแทกเต็มไปหมด เหงื่อกาฬไหลโทรมกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ลมหายใจเข้าออกหอบถี่รัวสื่อให้เห็นถึงอาการเหนื่อยล้าชัดเจน
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ร่างบางโดนสั่งให้ลงไปในสนามที่ทีม 2 กำลังซ้อมแข่งกันอยู่ โดยไม่ได้ลงไปเป็นผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด หากลงไปเป็นผู้เล่นคนที่ 11 ในสนามต่างหาก
คำสั่งของอาคาชิก็คือ ให้วิ่งไปและกลับในสนามโดยไม่ถูกตัวของผู้เล่นคนใดเลยและทำตัวให้‘ล่องหน’ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นคำสั่งที่ออกจะแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินครั้งแรก แม้แต่โค้ชเองก็ยังต้องตั้งคำถามกับคำแนะนำที่เหมือนคำสั่งกลายๆนั้นของเด็กหนุ่มผมแดง ทั้งเรื่องการที่ให้คุโรโกะ เท็ตสึยะ ซึ่งไม่ผ่านการทดสอบเลื่อนขั้นมาเข้าร่วมในสนามเดียวกับทีม 2 แล้วยังการฝึกซ้อมอันแสนจะพิสดารนั่นอีก แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือไม่มีใครสักคนที่กล้าจะคัดค้านการตัดสินใจนั้น
ผู้เล่นทีม 2 ที่กำลังจับคู่แข่งกันอยู่ต่างก็ได้รับคำสั่งให้แข่งกันไปตามปกติโดยไม่ต้องสนใจว่ามีผู้เล่นคนที่ 11 ลงมาอยู่ในสนามหรือไม่ หากแต่ด้วยสนามแข่งนั้นก็ใช่ว่าจะกว้าง และการเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วอันเป็นลักษณะเฉพาะของกีฬาบาสเก็ตบอล เมื่อมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาอยู่ในสนามก็ทำให้เกิดความไขว้เขวขึ้น และบ่อยครั้งที่ร่างเล็กนั้นจะถูกผู้เล่นคนอื่นกระทบกระแทกเข้าตรงที่ไหนสักแห่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
และเมื่อใดที่ใครซักคนในสนามชะงักเพราะมองเห็นคุโรโกะที่อยู่ในเส้นทางการเลี้ยงลูกของตน อาคาชิก็จะสั่งให้เริ่มนับรอบวิ่งใหม่ทุกครั้งไป
“โอ่ย จะไม่โหดไปหน่อยรึไง อาคาชิ” อาโอมิเนะพูดขึ้นในที่สุดหลังจากได้ดูการฝึกซ้อมที่อาคาชิจัดไว้สำหรับคุโรโกะโดยเฉพาะ และยิ่งเมื่อเห็นร่างเล็กที่เริ่มจะเดินเซจนยืนไม่อยู่นั่น อาโอมิเนะก็ไม่ลังเลใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงทันทีก่อนจะหันมามองอาคาชิด้วยสายตาท้าทายแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
แน่นอนว่ามีหลายคนเห็นด้วยว่าการฝึกซ้อมนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าพูดออกมาต่อหน้า ยกเว้นก็แต่อาโอมิเนะคนเดียวเท่านั้น
อาคาชิจ้องอีกฝ่ายกลับอย่างไม่หวาดเกรง นัยน์ตาสีแดงเข้มหรี่ลงก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างที่สูงกว่าเขาเกือบ 20 เซนต์นั่น
“อาโอมิเนะคุง ผมไม่เป็นไรครับ” เสียงคุโรโกะเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศที่เริ่มจะมาคุของทั้งสองฝ่าย เขาผละตัวเองออกจากการเอนพิงอาโอมิเนะแล้วพยายามยืนอย่างมั่นคงด้วยตนเอง
หลังจากครั้งนั้นเด็กหนุ่มผิวแทนก็ถูกสั่งห้ามเข้ามามีส่วนร่วมใดๆกับการฝึกซ้อมของคุโรโกะอีก และห้ามเข้ามาในโรงยิม 2อันเป็นที่ฝึกซ้อมของทีมด้วย และกว่าที่เขาจะได้เจออีกฝ่ายก็เป็นช่วงหลังฝึกซ้อมเสร็จแล้วเท่านั้น
“เท็ตสึ นายไหวนะ?” อาโอมิเนะถามขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กออกมาจากโรงยิมด้วยสภาพสะบักสะบอมราวกับเพิ่งไปรบในสงครามชายแดนมายังไงยังงั้น
เด็กหนุ่มผมฟ้าพยักหน้าน้อยๆ ทั้งที่การฝึกซ้อมโหดจนแทบจะรากเลือดแต่กลับไม่มีสักครั้งที่เขาจะปริปากบ่นออกมาให้เห็น แม้แต่ตอนที่ไม่อยู่ในสายตาอาคาชิก็ตาม
“ผมน่ะ เคยตัดใจจากบาสเก็ตบอลไปแล้วครั้งนึง เคยคิดว่าตัวเองจะไม่มีสิทธิได้ยืนอยู่ในสนามอีก แต่ว่า อาคาชิคุงก็หยิบยื่นโอกาสที่สองมาให้ผม ให้โอกาสที่จะได้อยู่ในทีมอีกครั้ง ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องลำบากแค่ไหนผมก็จะไม่ยอมแพ้แน่นอน” ถ้อยคำที่หนักแน่นและดวงตาสีฟ้าใสที่สื่อถึงความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมนั้นไม่เหลือความลังเลใจใดๆอีก
“โอ๊ะ!” ถึงแม้พลังใจจะเต็มเปี่ยมแต่พลังกายกลับไม่เป็นอำนวยตาม ร่างกายที่ผ่านการฝึกโหดมาทั้งวันหมดแรงแทบจะทิ้งตัวล้มลงกับพื้น หากไม่ได้แขนแข็งแรงของใครบางคนมาคว้าไว้เสียก่อน
อาโอมิเนะรับร่างของคุโรโกะที่กำลังจะลงไปจับกบที่พื้นได้ไว้ทันท่วงที อันที่จริงต้องบอกว่าเขาเองก็ลอบสังเกตอาการอีกฝ่ายอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะร่างบางนั้นทำท่าโรยแรงราวกับเพียงสัมผัสเบาๆก็จะทำให้ล้มครืนลงมาได้
“เฮ้ เท็ตสึ เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ” เสียงทุ้มถาม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองร่างเล็กด้วยความเป็นห่วงที่ฉายชัดในแววตาโดยไม่รู้ตัว
“อา ขอโทษครับ ผมคงเผลอใจลอยไปหน่อย” ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตอนแรกเขากำลังจะเอาหัวโหม่งพื้นโลกอยู่ดีๆ รู้สึกตัวอีกทีก็โดนรวบไว้ในอ้อมกอดอุ่นๆอย่างไม่ทันตั้งตัวยิ่งกว่าตอนจะล้มเสียอีก พอคิดได้ดังนั้นหัวใจก็เผลอเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบ
“ใจลอยอะไรของนาย เดินไม่ไหวแล้วยังจะมาพูดดีอีก” อาโอมิเนะคลายอ้อมแขนออกแต่ไม่ยอมปล่อยมือที่จับอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวจะร่วงลงไปนอนกองกับพื้นอีก สายตาพิจารณามองสภาพร่างบางแล้วก็ถอนหายใจ
“เอ้า ขึ้นมาสิ” เด็กหนุ่มร่างสูงก้มลงนั่งยองๆกับพื้นแล้วหันมาพูดกับร่างเล็กกว่าที่ยังคงยืนทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร “สภาพนั้นเดี๋ยวก็ไปหกล้มเอาหัวโหม่งข้างทางที่ไหนอีก ฉันจะพานายไปส่งบ้าน”
“อาโอมิเนะคุง ไม่ต้องหรอกครับ” เขาปฏิเสธทันควัน
“นายจะขี่หลัง หรือจะให้ฉันหิ้วไปกันล่ะ”
คุโรโกะจินตนาการภาพตัวเองโดนหิ้วด้วยแขนข้างเดียวของร่างสูงซึ่งคงไม่มีอะไรน่าอายไปกว่านั้นแล้ว จึงจำต้องขึ้นขี่หลังอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่อาโอมิเนะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วิสัยทัศน์รอบตัวที่ร่างเล็กเคยมองเห็นนั้นก็พลันเปลี่ยนไปจากเดิม นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองทิวทัศน์ที่มองจากมุมสูงกว่าที่เคยนั้นอย่างสนใจ
“มองจากที่สูงนี่รู้สึกแบบนี้เองสินะครับ” ในเมื่อป่วยการที่จะคัดค้าน เขาก็ควรจะปล่อยใจให้เพลิดเพลินกับสถานการณ์นี้ไปจะดีกว่าสินะ
นอกจากร่างกายที่สูงได้ระดับจนลมเย็นๆปะทะผิวหน้าแล้ว เขายังพบว่าแผ่นหลังของอาโอมิเนะทั้งกว้างแล้วก็อบอุ่นไม่น้อย จังหวะในการเดินแบบสม่ำเสมอและเสียงหัวใจเต้นอย่างสงบ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเผลอเคลิ้มไปบ้าง ใบหน้าอ่อนเยาว์ลอบยิ้มน้อยๆโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นแล้วเอนแก้มลงซบกับบ่ากว้างนั้นอย่างเต็มใจ
อาโอมิเนะคิดมานานแล้วว่าคุโรโกะดูตัวเล็กเหมือนคนไม่ค่อยได้กินอาหารครบห้าหมู่ซักเท่าไหร่ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะน้ำหนักตัวเบาปานนี้
ระหว่างทางตั้งแต่จากโรงเรียนมาจนเกือบถึงทางที่จะแยกไปบ้านของทั้งคู่นั้น ร่างสูงเดินเป็นม้าให้คนขี่หลังมาสบายๆแบบแทบไม่เสียเหงื่อเลยสักนิด
เห็นทีถ้าพาหมอนี่ไปส่งแล้วคงจะต้องคุยกับคนที่บ้านให้ดูแลเรื่องอาหารการกินซักหน่อย ตัวก็เล็กแถมยังเบาขนาดนี้จะโดนใครที่ไหนหิ้วตัวไปได้ง่ายๆมั้ยล่ะเนี่ย
“เท็ตสึ ไปทางไหนต่อ” เขาหันไปถามเด็กหนุ่มร่างเล็กผู้ซึ่งอยู่เงียบๆมาตลอดทาง
ปกติเวลาเดินกลับบ้านด้วยกัน เท็ตสึก็จะไม่ค่อยพูดอะไรเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร บทสนทนาระหว่างพวกเขาถ้าไม่ใช่เรื่องบาสก็จะไม่มีเรื่องอื่นอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อเลยสักครั้ง
ไร้เสียงตอบรับใดๆจากเลขหมายที่ท่านเรียก คุโรโกะ เท็ตสึยะเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย เท็ตสึ อย่าเพิ่งหลับสิ” อาโอมิเนะเขย่าตัวเรียกให้อีกฝ่ายตื่นแต่ก็ไม่เป็นผล
และขณะที่เขากำลังยืนสับสนอยู่บนถนนอันไร้ผู้คนนั้นเอง
“พี่เท็ตสึยะ!? เจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวดำจะพาตัวพี่เท็ตสึยะไปไหน! ปล่อยพี่นะ!!” เสียงเล็กๆดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆกลับไม่พบใครสักคน จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงเตะที่ไม่เบานักเข้าที่ขาจนต้องก้มลงมองข้างล่าง
เด็กน้อยเรือนผมและนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนถอดแบบเดียวกับคนที่กำลังขี่หลังเขามาอยู่แทบไม่ผิดเพี้ยน เสียก็แต่ว่าจะเป็นไซส์ย่อส่วนเท่านั้น ดวงตาสีเดียวกับเท็ตสึนั่นกำลังจ้องเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างที่สุดในขณะที่ขาก็พยายามจะเตะใส่หน้าแข้งอีกรอบหากเขาไหวตัวทันก่อน
“ทำอะไรของนายเนี่ย เจ้าเปี๊ยก!” อาโอมิเนะถามขึ้นหลังจากถอยหลังมาตั้งหลักอยู่ในระยะที่ห่างไกลกับผู้ประทุษร้ายพอสมควรแล้ว
“ผมไม่ใช่เจ้าเปี๊ยกนะ! คืนพี่เท็ตสึยะมาเดี๋ยวนี้ เจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวโย่ง!” ร่างเล็กยังคงพยายามเข้ามาต่อสู้อย่างไม่ลดละ เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นท่าไม่ดีจึงใช้ช่วงแขนที่ยาวกว่าดันหัวอีกฝ่ายเอาไว้
“เฮ้ ฉันไม่ได้จะทำอะไรหมอนี่ซักหน่อย ว่าแต่นายเป็นใครเนี่ยเจ้า.....หนู”
“ผมคุโรโกะ อิคุมิ เป็นน้องชายของพี่เท็ตสึยะ ถ้าไม่ได้ลักพาตัวแล้วลุงจะพาพี่ไปไหนล่ะ?” เด็กน้อยยอมหยุดการโจมตีอันไร้ผลแล้วหันมายืนกอดอกจ้องด้วยสายตาข่มขู่ที่ไม่ค่อยจะได้ผลแทน
“ใครเป็นลุง ฉันเพิ่งอยู่ม.ต้นเฟ้ย! แล้วฉันก็ไม่ได้ลักพาตัวหมอนี่ซักหน่อย แค่จะพาไปส่งบ้านแต่เจ้าบ้านี่ดันหลับไปซะเฉย” ถึงจะเคยมีหลายคนบอกว่าเขาตัวสูงกว่าเด็กรุ่นเดียวกันเยอะ แต่ก็ไม่ได้แก่ถึงขนาดจะโดนเรียกลุงหรอกนะ เจ้าเด็กบ้านี่!
แต่เดี๋ยวก่อน ที่เด็กคนนี้บอกว่าเป็นน้องชายของเท็ตสึ จะว่าไปก็มีส่วนคล้ายกันอยู่ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเหมือนกันเลยต่างหาก เพราะอย่างนี้ที่บอกว่าเป็นน้องชายก็เลยไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่
คุโรโกะ อิคุมิพิจารณาเครื่องแบบที่เขาจำได้ว่าเหมือนกับที่พี่ชายเคยใส่ และมองร่างเพรียวที่กำลังหลับอยู่บนแผ่นหลังแกร่งนั้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว เขาชั่งใจอยู่นานว่าจะเชื่อใจผู้ชายที่หน้าตาท่าทางไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดคนนี้ดีไหม
“ลุง. เอ๊ย พี่ชายจะพาพี่เท็ตสึยะไปส่งบ้านใช่มั้ย?” นัยน์ตากลมโตสีฟ้าใสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ทำให้ร่างสูงนึกถึงคุโรโกะคนพี่ไม่มีผิด
“เออ ถ้านายเป็นน้องชายหมอนี่ก็นำทางไปแล้วกัน ฉันจะได้กลับบ้านตัวเองซะที”
อิคุมิพยักหน้าแล้วยอมหันหลังพร้อมทำท่าให้อีกฝ่ายเดินตามมา
เด็กหนุ่มร่างสูงเดินตามมาจนถึงหน้าบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นักหลังหนึ่ง หน้าบ้านมีป้ายชื่อเขียนว่า ‘คุโรโกะ’ ทำให้เขารู้ได้ว่าคงเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ ร่างเล็กที่นำทางมาก่อนวิ่งเข้าไปเปิดประตูแล้วทำสัญญาณบุ้ยใบ้ว่าให้เขาพาคุโรโกะเข้าไปในบ้าน ก่อนจะนำขึ้นบันไดไปจนถึงห้องชั้นสอง ที่หน้าประตูมีรูปลูกบาสเก็ตบอลแปะอยู่
เขาปล่อยเด็กหนุ่มร่างบางลงจากหลังแล้ววางลงบนเตียงให้นอนดีๆ ใบหน้านั้นยังคงหลับสนิทไม่รู้สึกตัวแม้จะถูกวางให้นอนหงายแล้วห่มผ้าให้จนเรียบร้อย
เท็ตสึคงเหนื่อยมากจริงๆถึงได้นอนหลับเป็นตายขนาดนี้
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มพิศมองร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยฟกช้ำประปรายแต่ก็ไม่มากเท่ากับบริเวณลำตัวที่เต็มไปด้วยรอยกระแทกจางๆเต็มไปหมด
ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปเขี่ยปอยผมสีฟ้าที่ตกลงระหน้าผากเนียนให้ อาโอมิเนะก็รู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จับจ้องอย่างไม่วางตา
และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนผมฟ้าอีกคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในห้องนี้
“ขอบคุณนะครับที่พาพี่เท็ตสึยะมาส่ง พี่ชายบอกว่าอยากรีบกลับบ้านไม่ใช่เหรอ หมดธุระแล้วก็ไปได้แล้วสิ” ถึงถ้อยคำจะดูสุภาพขึ้นกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกแต่น้ำเสียงและความหมายของคำนั้นกลับสื่อได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่จะให้เขาอยู่ที่นี่
อันที่จริงการถูกเด็กอายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบจ้องอย่างเป็นศัตรูก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไรเท่าไหร่ แต่ครั้นจะให้ไปมีเรื่องกับเด็กมันก็ดูจะไร้สมองไปสักหน่อย ถึงเท็ตสึจะชอบบอกว่าเขาคิดแต่เรื่องบาสเก็ตบอลก็เถอะ แต่เรื่องอื่นเขาก็พอจะคิดได้บ้างเหมือนกันล่ะน่า
“เออ งั้นฉันกลับก่อนล่ะ นายก็ดูแลหมอนี่ดีๆแล้วกัน” การฝากให้น้องชายที่ยังอยู่ประถมดูแลพี่ชายที่อายุมากกว่านั้นดูจะแปลกไปบ้าง แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครให้ฝากฝังก็คงจะไม่มีทางเลือกล่ะมั้ง
อาโอมิเนะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะกินข้าวมีเศษซากของจานอาหารอย่างง่ายๆวางอยู่ จะว่าเท็ตสึเป็นคนทำก็ไม่น่าใช่เพราะเจ้าตัวเคยบอกว่าทำเป็นแต่ไข่ต้มเท่านั้น แล้วใคร...?
“นี่ แม่พวกนายไปไหนล่ะ วันนี้ไม่อยู่เหรอ”
“ไม่อยู่ และก็ไม่เห็นจะเคยอยู่ด้วย” เด็กน้อยตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่
“หมายความว่ายังไง พวกนายอยู่กันแค่สองคนพี่น้องตัวแค่นี้น่ะนะ? แล้วทำอะไรกินกันยังไงอย่าบอกนะว่ากินแต่ไข่ต้มทุกมื้อน่ะ”
“ใครว่าตัวแค่นี้ ผมโตแล้วนะจะบอกให้” ถึงนิสัยจะต่างกัน แต่ถ้าจะมีอะไรที่พี่น้องคู่นี้มีเหมือนกันนอกจากหน้าตาแล้วก็คงจะเป็นเรื่องปมด้อยเรื่องความสูงเนี่ยแหละ
“ส่วนพวกนั้น ผมเป็นคนทำเอง เพราะพี่เท็ตสึยะทำเป็นแต่ไข่ต้ม ก็โตขึ้นผมจะเป็นเจ้าสาวของพี่เท็ตสึยะนี่นา!”
TBC
No comments:
Post a Comment