Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
06
เสียงประตูเหล็กปิดลงพร้อมกับการจากไปของอาคาชิ เซย์จูโร่ ราวกับเป็นตัวเปิดสวิทช์ทุกอย่างที่หยุดนิ่งหลังจากประโยคสุดท้ายที่เขากล่าวให้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“เท็ตสึ ยอดไปเลย!” ร่างสูงกว่าหันไปมองร่างเล็กข้างกายอย่างยินดี หากแต่คุโรโกะกลับยังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเองเกินกว่าจะได้ยิน จนอาโอมิเนะต้องเขย่าตัวอีกฝ่ายให้รู้สึกตัวว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ “เฮ้ย เท็ตสึ ได้ยินรึเปล่า!?”
“อาโอมิเนะคุง...” เสียงนั้นเบา เบามาก ราวกับไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมาเสียงดังเพราะกลัวจะทำลายสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ กลัวว่าทั้งหมดนี่จะเป็นความฝัน และการขยับตัวเร็วไปแม้แต่นิดจะทำให้เขาตกใจตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนเหมือนจริงนี้
“ฮึก..” คำพูดที่ตามมากลับกลายเป็นเสียงสะอื้น ร่างเล็กสั่นสะท้านไหว สองขาพลันหมดเรี่ยวแรงจะยืนให้อยู่แล้วทรุดลงนั่งกับพื้น
อาโอมิเนะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จึงต้องนั่งลงตามไปด้วย เขาค่อยๆเอื้อมมือไปประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นมาสบตากันอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะเกรงว่าเขาจะทำอะไรผิดไปจนอีกฝ่ายต้องร้องไห้ “เท็ตสึ เกิดอะไรขึ้น นายร้องไห้ทำไมน่ะ!?”
ใบหน้าน่ารักเงยขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนใสเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาตามพวงแก้ม หากแต่ริมฝีปากนั้นกลับมีรอยยิ้ม รอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“อาโอมิเนะคุง... ผม... ดีใจมากครับ” คุโรโกะไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในอกนี้ได้อย่างไร เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีคุณค่า มีความสามารถพอจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้ และตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมาตลอดกลับอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
“เจ้าบ้า เวลาดีใจใครเค้าร้องไห้กัน” อาโอมิเนะนิ่งไปสักพักราวกับถูกสะกดด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นจากใบหน้าเฉยชานั้น มือใหญ่สีแทนที่ประคองแก้มค่อยๆยกขึ้นปาดน้ำตาให้อย่างเบามือ
มือเล็กยกขึ้นวางทับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนใบหน้าตน เสียงสะอื้นค่อยๆจางหายไปเหลือเพียงคราบน้ำตาจางๆที่ทิ้งรอยไว้บนผิวขาวเนียน หากริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มยังคงอยู่
“ผมดีใจมาก ที่ได้พบกับอาโอมิเนะคุง ขอบคุณมาก จริงๆครับ” เพราะการได้พบกันในวันนั้นทำให้เขามีวันนี้ได้ สิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดคือการได้ยืนอยู่ในสนามเคียงข้างกับเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเจิดจ้าราวกับแสงสว่าง เขาเคยสิ้นหวังจนคิดจะล้มเลิก แต่คนๆนี้ก็เป็นผู้คอยฉุดดึงเขาขึ้นมาจากความสิ้นหวังนั้น คอยมอบกำลังใจและไม่เคยแม้ซักครั้งที่จะดูถูก และก็เป็นคนๆนี้ที่ทำให้อาคาชิคุงมองเห็นเขาในที่สุด นัยน์ตาสีฟ้าจ้องสบกับนัยน์ตาคู่สีน้ำเงินเข้ม ความจริงใจที่แสดงออกสื่อชัดเจนแม้ไม่ต้องใช้คำยืนยันใดๆ
ถ้อยคำและการกระทำนั้นทำให้สมองของอาโอมิเนะหยุดคิดเรื่องอื่นใดชั่วคราว เมื่อรู้ตัวอีกทีใบหน้าคมเข้มนั้นก็เคลื่อนเข้าหาจนห่างเพียงมวลอากาศกั้น และริมฝีปากหนาก็ทาบทับลงบนกลีบปากบางกว่าอย่างแผ่วเบา
มันเป็นจูบที่อ่อนโยน เชื่องช้า และนุ่มนวลราวกับขนนก ไม่ได้ลึกซึ้ง จาบจ้วง หรือแฝงด้วยความต้องการใดๆ มีเพียงริมฝีปากสองคนที่สัมผัสกันเพียงผิวเผิน แต่ความรู้สึกนั้นกลับรุนแรงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านร่างของคนทั้งคู่จากบริเวณที่สัมผัสไปทั่วทั้งร่างกาย
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างอย่างตกใจกับสัมผัสที่ได้รับอย่างกะทันหัน หากแต่เมื่อริมฝีปากผละจากไปกลับรู้สึกคิดถึงสัมผัสนั้นขึ้นมาทันใด
เด็กหนุ่มร่างสูงดูจะเป็นฝ่ายตกใจกว่าร่างเล็กด้วยซ้ำ เมื่อถอนริมฝีปากออกมาและมองใบหน้าอีกฝ่ายที่มองกลับมาด้วยความสับสนเขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนได้ทำอะไรลงไป
เขาเพิ่งจูบเท็ตสึ เพื่อนสนิทของเขา
“ฉะ..ฉัน” อาโอมิเนะอ้ำอึ้ง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาผิวเข้มไม่เช่นนั้นใบหน้าของเขาคงจะขึ้นสีอย่างน่าอายเป็นแน่
ความเงียบโรยตัวอีกครั้งเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไรดี คุโรโกะเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่จะเป็นฝ่ายเงียบ แต่ความเงียบนั้นกำลังทำให้เขาอึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิด
“ฉัน..เอ่อ ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ขะ..ขอโทษนะเท็ตสึ!” เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไร เป็นครั้งแรกที่คนอย่างอาโอมิเนะ ไดกิหนีจากเรื่องที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่ เขาเอ่ยขอโทษขอโพยโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำก่อนจะรีบหนีไปจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มร่างสูงรู้ตัวว่ากำลังทำตัวเหมือนเด็ก เขากำลังหนี แต่ที่เขาไม่รู้คือเขากำลังหนีจากอะไร หนีจากเท็ตสึ หรือหนีจากความรู้สึกของตัวเอง
คุโรโกะถูกทิ้งให้อยู่ในโรงยิมเพียงลำพังกับความรู้สึกหลากหลายและเรื่องราวพลิกผันมากมายที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงดี เขาสงสัยนักว่ายังมีสติมากพอที่จะพาตัวเองกลับบ้านโดยสวัสดิภาพได้อย่างไร
“พี่เท็ตสึยะ เป็นอะไรไปฮะ” อิคุมิถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเขาเดินเข้าบ้านมาด้วยสภาพราวกับคนไร้สติ เสียงน้องชายเรียกดังมากจากหลังบานประตูห้อง เขาเพียงแต่ตอบไปว่าไม่เป็นไรทั้งที่ในใจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิด
เด็กหนุ่มอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อเรียบเรียงความคิดและจัดการกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
อันดับแรก เขารู้สึกเคารพและนับถือเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าอาคาชิจากก้นบึ้งของหัวใจ นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งในสิ่งที่ไม่ว่าใครๆก็ไม่อาจมองเห็นได้ ในกรณีนี้คือความสามารถของคุโรโกะ แม้ว่าเขาจะไม่เคยปริปากบ่นกับการฝึกฝนอันแสนทรหดของอาคาชิ แต่ก็ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัย เขาเพียงแต่เก็บเงียบไว้และได้แต่หวังว่ามันจะช่วยให้เขามีโอกาสได้เล่นบาสอย่างที่ต้องการ
และมันก็เป็นความจริง ความสามารถนั้นทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาเคยได้แต่ใฝ่ฝัน การได้เล่นเคียงคู่กันในสนามกับอาโอมิเนะ ได้รับความเชื่อใจ และรอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้
เมื่อคิดถึงเด็กหนุ่มร่างสูงในใจก็พาลนึกไปถึงเรื่องไม่คาดฝันที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
อาโอมิเนะ... จูบเขา
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะตกใจเกินกว่าจะแสดงออก หากแต่ตอนนี้ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างซึมซับลงสู่สมอง แค่คิดถึงเรื่องนั้นก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือเรียวยกขึ้นทาบอกข้างซ้ายหวังจะให้เจ้าก้อนเนื้อที่อยู่ข้างในสงบลงบ้าง
แต่การที่อาโอมิเนะจูบเขา ยังไม่เท่ากับตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ
บางอย่างเจ็บแปลบข้างใน คุโรโกะไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาไม่ชอบคำนั้น ไม่อยากให้อีกฝ่ายขอโทษ ไม่อยากให้มันเป็นแค่ ความไม่ตั้งใจ
เด็กหนุ่มร่างบางฟุบหน้าลงกับหมอน การมีเรื่องที่ทำให้ทั้งดีใจและปวดใจในเวลาเดียวกันมันมากเกินไป พรุ่งนี้ยังต้องไปฝึกซ้อมอีก เขาหลับตาลงและปล่อยให้ความเหนื่อยล้าพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา
อีกฟากนึงของห้วงความคิดถึง อาโอมิเนะ ไดกิกำลังเหม่อมองดวงจันทร์ราวกับมันจะสามารถให้คำตอบกับปัญหาที่เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดได้
ทำไมจู่ๆเขาถึงทำแบบนั้นกับเท็ตสึ!?
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ก็แค่รู้สึกว่าเป็นคนที่แปลกประหลาดและน่าสนใจดี พอได้รู้จักและซ้อมบาสเก็ตบอลด้วยกันทุกๆวันก็ทำให้เขาเห็นได้ถึงด้านที่น่านับถือของอีกฝ่าย ความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในสถานการณ์ใด เขารู้ดีเรื่องที่ฝีมือของคุโรโกะนั้น โดยปกติแล้วคงไม่มีทางได้เป็นอะไรในทีมบาสแน่ๆ
แต่วันนี้เมื่อได้ยืนในสนามด้วยกัน ลูกพาสที่ถูกส่งมาให้ราวกับรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างแม่นยำ มันทำให้เขาประหลาดใจ และตื่นเต้น อะดรีนาลินสูบฉีดด้วยความต้องการที่จะเล่นด้วยกันให้มากกว่านี้อีก
สุดท้ายแล้วเขาก็คงเป็นแค่ไอ้บ้าคนนึงที่คิดถึงแต่เรื่องบาสเก็ตบอลอย่างที่ใครๆว่า
ถ้าหากไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย หรืออยากจูบผู้ชายคนไหน แต่กับเท็ตสึ เรื่องนั้นไม่ทันได้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีร่างกายก็ขยับไปก่อนหน้าซะแล้ว
พวงแก้มของอีกฝ่ายที่เปื้อนคราบน้ำตามีสีแดงหน่อยๆเพราะเพิ่งหยุดร้องไห้ หยาดน้ำใสส่งให้ดวงตาสีฟ้าอ่อนนั้นราวกับจะเปล่งประกายได้เมื่อต้องแสงไฟ และรอยยิ้มน่ารักที่ฉายอยู่บนใบหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเท็ตสึมีความสุขมากมายขนาดนี้
และเมื่อชื่อของเขาหลุดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหา และทาบทับลงบนกลีบปากบางที่เพิ่งจะพูดถ้อยคำอ่อนหวานนั้น เพียงเพราะอยากรู้ว่ามันจะหวานเหมือนกับคำพูดที่เอ่ยออกมาไหม
กระทั่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาถึงได้รีบผละออก
‘ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะเท็ตสึ!’
โกหกคำโตเลยทีเดียว คำแก้ตัวในตอนนั้นของตัวเอง
อาโอมิเนะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองด้วยการบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แค่ริมฝีปากสัมผัสกันเบาๆ สั้นเกินกว่าจะเรียกว่าจูบด้วยซ้ำ เป็นเหมือนการทักทายและแสดงความสนิทสนมธรรมดาระหว่างเพื่อน พี่น้อง คนในครอบครัว..
แต่ว่าเพื่อนชายสองคนนี่ใครที่ไหนเขาจะจูบกันบ้าง
แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้นกับเท็ตสึล่ะเนี่ย!?
แล้วความคิดอาโอมิเนะก็กลับมาวนลูปอยู่ที่เดิมไปมาจนถึงเช้า
“ได..อาโอมิเนะคุง ทำไมลูกกะตาเป็นแบบนั้นล่ะ!?” ผู้จัดการสาวตั้งคำถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงปรากฏกายพร้อมกับรอยคล้ำสีม่วงใต้ตาชัดเจนแม้บนผิวสีเข้มของเจ้าตัว
“เออ ก็แค่นอนไม่พอ” เขาตอบเลี่ยงๆ จะบอกได้ยังไงว่านอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดมากอยู่ทั้งคืน เรื่องของใครคนนึงที่เพิ่งจะเข้ามาฝึกซ้อมร่วมกับพวกเขาเป็นวันแรก
“นี่ ซัทสึกิ” อาโอมิเนะเอ่ยเรียกเพื่อนสมัยเด็กของตน ไม่แน่ใจว่าจะถามสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวนี้ดีไหม
“หืม? มีอะไรเหรอ” โมโมอิเอียงคอถาม
“เธอเคยจูบกับใครรึเปล่าน่ะ”
“หา!!? ถามอะไรแบบนั้น เสียมารยาทที่สุดเลยไดจัง!” เด็กสาวโวยวายแล้วเผลอเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้แล้วลดเสียงลง “เรื่องจูบน่ะเค้าไว้ทำกับคนที่ชอบไม่ใช่รึไง ก็ฉันยังไม่มีคนที่ชอบนี่นา”
ถ้อยคำนั้นของซัทสึกิทำเอาเขาถึงกับชะงัก
จูบ...กับคนที่...ชอบ..งั้นหรือ?
หลังจากนั้นเสียงหวานๆที่พูดอะไรก็ไม่ได้เข้าหัวเขาแล้ว เพราะความสนใจของเขาหันไปจดจ่อกับสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง
นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปทางร่างเล็กที่กำลังวิ่งรอบสนามอยู่โดยไม่ยอมหันหน้าไป ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นว่าเขามองอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็ได้แต่หวังว่าความร้อนวูบที่รู้สึกตอนนี้คงไม่ได้แปลว่าใบหน้าของเขากำลังขึ้นสีอยู่หรอกนะ
บ้าน่า อย่างเขาเนี่ยนะจะชอบผู้ชาย ชอบเท็ตสึเนี่ยนะ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันก็แค่อุบัติเหตุ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นหรอก
“อาโอมิเนะคุง มองอะไรน่ะ?” เสียงของโมโมอิดังขึ้นข้างหูในระยะประชิดทำเอาอาโอมิเนะตกใจจนแทบสะดุ้ง
“อะ..อะไรของเธอซัทสึกิ! จู่ๆก็มาตะโกนใส่หูคนอื่นเนี่ย”
“ฉันตะโกนที่ไหนก็เรียกตั้งนานแล้วอาโอมิเนะคุงไม่ได้ยินเองนี่” เด็กสาวยืนเท้าสะเอวด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย “แล้วคนที่ถามฉันแต่ไม่ยอมฟังคำตอบแล้วปล่อยให้ฉันพูดอยู่คนเดียวเนี่ยมันเสียมารยาทนะ ว่าแต่จะถามไปทำไมน่ะ”
“แล้วเรียกทำไม”
“แค่จะบอกว่า โค้ชเรียกให้รวมแล้ว ยืนเหม่ออยู่ได้” พูดพลางชี้ไปที่กลุ่มคนที่รวมตัวอยู่ข้างสนาม เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆด้วย
จากนั้นโค้ชก็ชี้แจงให้ทุกคนทราบคร่าวๆเกี่ยวกับเรื่องที่คุโรโกะได้เลื่อนชั้นมาอยู่ทีมหนึ่งตามคำแนะนำของอาคาชิ น่าแปลกที่ไม่มีใครคัดค้านอะไร จะว่าเป็นเพราะความจืดจางของเด็กหนุ่มที่ทำให้ไม่มีใครสังเกตก็ไม่น่าใช่ ถึงกระนั้นก็อดสัมผัสถึงบรรยากาศมาคุแบบแปลกๆไม่ได้ ราวกับเป็นความเงียบสงบก่อนพายุจะเข้า
ตูม!
เสียงกระทบกันระหว่างของสองสิ่ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือสิ่งของรูปร่างกลมมีสีส้มน้ำหนักกำลังพอดี กับใบหน้าของเด็กหนุ่มผิวสีแทนเข้มที่มาอยู่ในเส้นทางการเคลื่อนที่โดยไม่ได้เตรียมรับมือ ก่อนจะโดนลูกบาสเก็ตบอลกระแทกใส่หน้าเข้าเต็มๆ
“โอย เท็ตสึ ทำอะไรของนายเนี่ย!?” อาโอมิเนะยกมือกุมหน้าของตนเพื่อสำรวจว่าหูตาจมูกปากยังอยู่ครบทุกส่วนหรือเปล่า ก่อนจะหันไปตะโกนใส่ตัวการที่ประทุษร้ายเขาในครั้งนี้
“ขอโทษครับ” คุโรโกะเอ่ยด้วยใบหน้าเฉยชาเป็นปกติจนบอกไม่ได้ว่าที่พูดขอโทษนี่เสียใจจริงๆหรือว่าจงใจทำร้ายกันแน่ ทั้งที่คิดว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กจะไม่กล้าสู้หน้าเขาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่กลายเป็นว่าเท็ตสึยังแสดงออกไม่ต่างไปจากเดิม ทำราวกับทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
หรือบางทีอาจจะมีแค่เขาที่คิดบ้าบอมากไปเองก็ได้ เสียดายเวลานอนจริงๆให้ตายสิ
ชอบบ้าบออะไรกัน ก็แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ
“เฮ้ย อาโอมิเนะ!” หลังจากเสียงเรียกของเพื่อนในทีมอีกคนหนึ่งดังขึ้นไม่ทันจบ อาโอมิเนะก็โดนลูกบาสประทับฝากรอยไว้ที่หน้าอีกครั้งหนึ่งโทษฐานเหม่อลอยเกินกว่าที่ควร
นอกจากการฝึกตามปกติแล้วคุโรโกะยังขอให้อาโอมิเนะช่วยฝึกซ้อมการรับส่งลูกกับเขาในตอนเย็นเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กเล่นบาสได้เข้าขากับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าอีกฝ่ายได้เป็นตัวจริงแล้วลงเล่นในสนามด้วยกันจะเป็นยังไง
นอกจากการฝึกตามปกติแล้วคุโรโกะยังขอให้อาโอมิเนะช่วยฝึกซ้อมการรับส่งลูกกับเขาในตอนเย็นเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กเล่นบาสได้เข้าขากับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าอีกฝ่ายได้เป็นตัวจริงแล้วลงเล่นในสนามด้วยกันจะเป็นยังไง
ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ที่เคยบอกกับอีกฝ่ายว่าคงมีสักวันที่จะได้ยืนอยู่ในสนามเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เคยคิดจริงจังว่าความสามารถแบบคุโรโกะจะเป็นตัวจริงได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เขาเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าสไตล์การเล่นของเท็ตสึนั้นมีมาเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับเกมส์ของเขา
รู้สึกตื่นเต้นจนอยากจะให้เวลานั้นมาถึงเร็วๆ
แล้วอาโอมิเนะผู้หมกมุ่นกับการฝึกซ้อมก็ลืมคิดเรื่องอื่นๆไปได้ในที่สุด
TBC
No comments:
Post a Comment