Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : PG-13
Link : 01
02
โรงยิมที่ 4 ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของบรรดาสมาชิกชุดที่ 3 ของชมรมบาสเก็ตบอลมัธยมต้นเทย์โคว ที่ส่วนใหญ่จะทยอยกันกลับบ้านหลังจากหมดเวลาซ้อมไม่นานนัก โรงยิมที่ก่อนหน้าเลยมักจะว่างเปล่าเสมอ แต่ช่วงหลังมานี้จะมีร่างของเด็กหนุ่มสองคนฝึกซ้อมด้วยกันจนดึกดื่นเสมอ
“เท็ตสึ! ไปกันได้รึยังน่ะ”
“เดี๋ยวผมเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อนนะครับ” แขนเพรียวหอบบรรดาอุปกรณ์ที่เอาออกมาใช้ในการฝึกซ้อมรวมถึงลูกบาสสองสามลูกเข้าไปเก็บในห้องเก็บของขนาดเล็กที่อยู่ด้านในของโรงยิม เป็นนิสัยของคุโรโกะที่จะต้องเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อนเสมอ
ภายในห้องเล็กๆที่ไม่มีหน้าต่างเต็มไปด้วยข้าวของอุปกรณ์กีฬามากมายหลากหลายทั้งที่วางระเกะระกะอยู่เต็มพื้น วางซ้อนกันเป็นตั้งๆ และส่วนน้อยที่วางเป็นระเบียบอยู่บนชั้น
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนกวาดมองหาถุงตาข่ายที่ใช้สำหรับเก็บลูกบาส ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนเก็บไว้สูงกว่าทุกที มือเรียวข้างหนึ่งพยายามยืดไปเก็บให้เข้าที่ ปลายเท้าที่ยืนอยู่บนกองข้าวของมากมายเขย่งจนแทบจะสุดตัว
อีกเพียงไม่กี่เซนต์ปลายนิ้วก็จะเอื้อมถึงแล้วแต่พื้นที่ยืนอยู่กลับไม่มั่นคงพอ ร่างเล็กที่กำลังเสียหลักคว้าเอาตาข่ายที่บรรจุลูกบาสเก็ตบอลอยู่เต็มหวังจะเป็นหลักยึดเหนี่ยว แต่น่าเสียดายที่นั่นกลับทำให้ข้าวของที่ว่าพากันถล่มลงมาทั้งชั้น
เสียงโครมครามดังลั่นทำให้อาโอมิเนะต้องรีบวิ่งมาดูก่อนจะพบร่างของเด็กหนุ่มอีกคนนอนจมกองสารพัดข้าวของอยู่
“เท็ตสึ เป็นอะไรรึเปล่า!?” แขนแกร่งเข้าไปช่วยพยุงร่างเล็กกว่าขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
“เปล่าครับ” มือเอื้อมไปลูบหัวตรงที่โดนลูกบาสหล่นใส่ป้อยๆ พอจับแล้วเจ็บนิดหน่อยเหมือนกันแฮะ
“แล้วทำอะไรของนายเนี่ย แผ่นดินไหวเฉพาะที่รึไง”
“ใช่ที่ไหนล่ะครับ มีคนเก็บตาข่ายนี่ไว้สูงเกินไปต่างหาก”
“นายนี่นะ รู้ตัวว่าเอื้อมไม่ถึงคราวหลังก็เรียกฉันมาช่วยสิ”
อาโอมิเนะบ่นหลังตรวจดูสภาพแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นอะไรมากทั้งสองจึงช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่างๆที่เทกระจาดระเนระนาดให้เข้าที่เดิม
.
.
.
.
กึง!
ทันทีที่มือเอื้อมไปจะเปิดประตูเหล็กก็ต้องพบกับความจริงบางอย่าง
ประตูโรงยิมที่ว่าโดนล็อกจากด้านนอกทั้งกลอนและโซ่คล้องเสร็จสรรพ และตอนนี้พวกเขาก็ถูกขังอยู่ด้านในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าตาลุงภารโรงนั่นล็อกไปแล้ว ทั้งที่ยังมีคนอยู่ข้างในเนี่ยนะ!?”
“คงจะอย่างนั้นแหละครับ” แม้จะติดอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าคับขัน แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเช่นเคย นี่นายจะใจเย็นเกินไปรึเปล่าน่ะ!?
หลังจากเดินวนเวียนดูรอบๆจนในที่สุดก็ต้องสรุปว่าไม่มีทางออกอื่นที่เปิดไว้เช่นกัน อาโอมิเนะทำท่าจะพังประตูออกไปหากไม่มีเสียงอีกคนนึงพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“อาโอมิเนะคุง อย่าทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนสิครับ”
อันที่จริงถึงจะใช้กำลังอย่างไรก็ใช่ว่าประตูเหล็กจะเปิดง่ายๆ มีแต่คนทำนั่นแหละที่จะเจ็บตัวไปซะก่อน กลัวแต่เจ้าตัวจะดื้อด้านไม่ยอมฟัง ร่างเล็กเลยต้องใช้เหตุผลเรื่องงบประมาณมาห้ามไว้แทน
“แล้วนายจะให้ทำยังไง?”
“ถ้ารอจนถึงเช้าก็มีคนมาเปิดเองแหละครับ”
อาโอมิเนะถอนหายใจยอมแพ้ในที่สุด ดูเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรออยู่เฉยๆจนกว่าจะเช้า
“งั้นคงต้องนอนที่นี่ล่ะสิ”
ทั้งสองลงเอยด้วยการไปนอนในห้องเก็บของเจ้าปัญหาที่เพิ่งจะเก็บกวาดเสร็จไปเมื่อครู่ ด้วยเหตุที่เป็นห้องปิดไม่มีหน้าต่างจึงพอจะกำบังจากสายลมยามค่ำคืนได้บ้าง และในห้องก็มีเบาะที่ใช้สำหรับกิจกรรมพละคงพอใช้รองนอนได้ดีกว่าพื้นไม้ที่ทั้งแข็งและเย็น
“เท็ตสึ..หลับรึยังน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นในความเงียบ ร่างสูงพลิกตัวร้อยตลบแล้วก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
“...กำลังพยายามอยู่ครับ” ร่างบางกว่านอนหันหลังให้ แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงตอบรับกลับมาแสดงถึงสภาพที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเพ่งมองไปในความมืด เขาควรจะดีใจดีมั้ยที่ตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่นอนไม่หลับในสถานการณ์แบบนี้ แต่แล้วก็สังเกตเห็นแผ่นหลังบางของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ
“หนาวเหรอ?” ถึงจะเป็นห้องปิดไม่มีลมเข้ามายังไง แต่ภายในห้องที่ไม่มีเครื่องทำความร้อน ประกอบกับชุดที่สวมใส่เป็นชุดแขนกุดกางเกงขาสั้นตัวเดียวกับที่ใช้ซ้อมบาสธรรมดาจึงไม่แปลกที่จะรู้สึกหนาว ยิ่งกับเท็ตสึที่ตัวเล็กกว่าเขาเยอะแล้วด้วย
“.....เปล่าครับ”
“ยังจะมาปากแข็งอีก”
“.....”
“เท็ตสึ...เขยิบมาทางนี้สิ”
อาโอมิเนะค่อยๆขยับเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มร่างเล็กกว่า แล้วค่อยๆใช้แขนแข็งแรงโอบไหล่บางจากด้านหลังไว้เพียงหลวมๆ คนที่ถูกกอดนอนนิ่ง ไม่ได้ขยับตัวหนีแต่ก็ไม่ได้พลิกกายหันกลับมาหา
“ตอนเด็กๆฉันเคยเล่นซ่อนแอบกับซัทสึกิแล้วก็โดนขังไว้ในห้องเก็บของ หนาวแทบแย่เลยต้องนอนกอดกันจนถึงเช้า พวกผู้ใหญ่ตกใจกันใหญ่เลยล่ะ ฮ่าๆ”
“อาโอมิเนะคุง ทำแบบนั้นกับผู้หญิงไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยครับ”
“ยุ่งน่า ตอนนั้นยังเด็กใครจะไปคิดอะไรกัน”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ?”
“ยัยนั่นเป็นเพื่อนสมัยเด็กจะให้ฉันคิดอะไรได้อีกล่ะ ที่สำคัญปากร้ายแล้วก็ชอบใช้ความรุนแรงออกปานนั้นใครจะไปชอบลง”
“....ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“หา? แล้วเรื่องไหนล่ะ”
ก็เรื่องนี้..
“ช่างเถอะครับ”
คุโรโกะตัดบท เมื่อเห็นเช่นนั้นอาโอมิเนะเข้าใจว่าอีกฝ่ายง่วงแล้วจึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เขากอดร่างเล็กไว้แล้วค่อยๆหลับตาลงทั้งอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าพอมีหมอนข้างจำเป็นมาให้กอดก็ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นบ้าง อาโอมิเนะสูดกลิ่นอ่อนๆที่ออกมาจากร่างบางแล้วเคลิ้มหลับไป
หากแต่คนที่ถูกใช้เป็นหมอนข้างกลับไม่ได้สงบนิ่งเหมือนภายนอกแม้สักนิด หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียง ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจับไข้ ความหนาวใดๆที่เคยรู้สึกพลันหายไปภายในอ้อมกอดอบอุ่น ไม่กล้า แม้แต่จะหันไปมองเพราะกลัวว่าใบหน้าของตนจะแสดงสีหน้าแปลกๆอะไรออกไป
อาโอมิเนะคุง.. นิสัยไม่ดีที่สุดเลยครับ
.
.
.
.
“....มิเนะ...คุง....อาโอมิเนะคุง...เช้าแล้วครับ”
“หืม...เท็ตสึ?”
อาโอมิเนะพบว่าร่างของตนกำลังโดนเขย่า พอลืมตาก็เห็นใบหน้าของคนปลุกที่ท่าทางจะยังตื่นไม่เต็มตาเท่าไหร่ กับแสงสว่างจากหน้าต่างโรงยิมที่อยู่ไกลๆ
“พอคนมาเปิดประตูแล้วรีบย่องออกไปกันดีกว่าครับ ถ้าขืนอยู่ให้ใครมาเจอมีหวังคงโดนดุกันยกใหญ่แน่” คุโรโกะพูดขึ้น หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบวิ่งกลับมาโรงเรียนอีกครั้งเพื่อเข้าห้องเรียนให้ทัน
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้น อาโอมิเนะ ไดกิตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามตัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงเขาแทบไม่อยากลุกจากเตียงเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะถึงกับยกหัวไม่ขึ้นแบบนี้ พอลืมตามองรอบๆก็เห็นเป็นภาพเลือนๆ
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงดังขึ้นก่อนจะดับไป เขาเอื้อมมือไปควานหาเครื่องมือสื่อสารแล้วพบว่ามันคงดังอยู่ได้ซักพักแล้วดูจากจำนวนสายที่ไม่ได้รับที่ปรากฏอยู่
ซัทสึกิคงโทรมาปลุกเขาเหมือนเช่นเคย สมัยก่อนหล่อนจะเป็นคนลากเขาไปโรงเรียนเสมอ แต่ตั้งแต่ขึ้นม.ต้นเขาก็ตื่นไปซ้อมเช้าได้เองเพราะอดใจรอที่จะไม่ได้เล่นบาสเก็ตบอลไม่ไหว แล้วจากนั้นก็ไปหลับชดเชยในห้องเรียนเอาแทน
และถ้าเป็นเมื่อก่อนยัยนั่นคงจะบุกเข้ามาลากเขาลงจากเตียงไปแล้ว แต่พอขึ้นม.ต้นก็ดูเหมือนจะเริ่มทำตัวแปลกไปเพราะอ้างว่ากลัวคนอื่นจะเอาไปลือ ทั้งเรื่องที่ไม่ยอมเรียกชื่อเขาหรือเรื่องที่ใช้โทรศัพท์มาปลุกแทนที่จะมาที่ห้องก็ด้วย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอปราฏชื่อคนโทรมาเป็นคนที่กำลังนินทาเจ้าตัวอยู่พอดี
“ฮัลโหล”
“.......ไดจัง?” ปลายสายเงียบไปซักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ อย่างน้อยเวลาอยู่ด้วยกันก็ยังเรียกชื่อเขาอยู่เหมือนเดิม
“ว่าไง ซัทสึกิ” อาโอมิเนะกรอกเสียงลงไป รู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่เปล่งเสียงจะเจ็บคอแปลกๆ
“ไดจัง ไปทำอะไรมา ทำไมเสียงแหบเป็นเป็ดแบบนั้นล่ะ?”
“ห๊ะ!?” แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าเสียงตัวเองไม่เหมือนตัวเองอย่างที่ซัทสึกิว่าจริงๆ เสียงที่ปกติจะทุ้มบัดนี้กลับแหบแห้งจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“ช่างเถอะ ว่าแต่นี่มันกี่โมงแล้ว ฉันโทรไปตั้งหลายรอบทำไมไม่ยอมรับสายน่ะ ไดจังไม่เคยมาซ้อมเช้าสายนี่นา โค้ชโกรธใหญ่เลยนะที่หายไปโดยไม่บอกน่ะ แล้วนี่โรงเรียนเริ่มแล้วทำไมยังไม่มาอีก ไดจัง”
“เออ..สงสัยจะ แค่กๆๆ นอนเพลินไปหน่อย” เด็กหนุ่มรู้สึกระคายคอจนต้องไอออกมายกใหญ่กว่าจะพูดต่อได้
“ไดจัง ไม่สบายรึเปล่าน่ะ” เสียงหวานเริ่มตระหนกขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงไอแห้งๆที่ลอดผ่านโทรศัพท์มา
“ไม่เป็นอะไร แค่กๆ แต่ไหนๆก็ไม่ทันซ้อมเช้าแล้ว ฉันไม่ไปโรงเรียนเลยแล้วกัน เย็นนี้ค่อยไปชมรมอีกที ฝากบอกอาจารย์ให้ด้วย”
"ฉันนึกว่าคนบ้าจะไม่เป็นหวัดซะอีก ก็ได้ ฉันจะบอกอาจารย์กับรุ่นพี่ให้ นายก็ ‘กินยา’ นอนพักผ่อนไปแล้วกัน”
มือกดวางสายโทรศัพท์หลังจากอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว ถ้อยคำของเด็กสาวทำให้เขานึกขำ
อาโอมิเนะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันเป็นหวัดหรือไม่สบายอะไรกับใครเค้าได้ เพราะด้วยความที่เล่นกีฬามาตลอดตั้งแต่เด็กจึงมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนอื่น ไม่เคยเจ็บป่วยง่ายๆ ยกเว้นนานครั้งจริงๆ ซึ่งครั้งสุดท้ายนั่นก็นานมาแล้วตั้งแต่ก่อนเขาขึ้นมัธยมเสียอีก
ถึงจะยังรู้สึกปวดหัวเขาแต่ก็แอบดีใจที่ไม่ต้องไปนั่งฟังเรื่องน่าเบื่อที่โรงเรียน ถึงยังไงไปเรียนสำหรับเขาก็คือไปหลับอยู่ดี ช่วงเวลาที่เขาชอบคือหลังเลิกเรียนที่ได้เล่นบาสต่างหาก
คิดขึ้นมาแล้วเขาก็นึกไปถึงเพื่อนร่างเล็กอีกคนที่วันก่อนนอนตากน้ำค้างในโรงยิมด้วยกัน ขนาดเขายังเกือบจะไม่สบายแบบนี้อีกฝ่ายไม่ล้มหมอนนอนเสื่อโดนจับส่งโรงพยาบาลไปแล้วรึไง
เด็กหนุ่มปิดตานอนกลิ้งอยู่บนเตียงกะว่าอีกสักพักค่อยลุกไปเล่นสตรีทบาสที่สนามแถวๆนี้แล้วค่อยเลยไปดูอาการเท็ตสึสักหน่อย แต่กลับจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
.
.
.
.
รู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เป็นสีส้มแดงบ่งบอกถึงเวลาใกล้พลบค่ำ เมื่อเหลือบไปมองดูนาฬิกาบนผนังฝั่งตรงข้ามบอกเวลา 5 โมงเย็นนิดๆ
อาโอมิเนะถอนหายใจ เย็นขนาดนี้ถ้าโผล่ไปชมรมอาจจะโดนดุอีกแหง
เขาขยับตัวจะลุกขึ้นแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักบางสิ่งที่กดทับอยู่บริเวณผ้าห่มข้างกาย
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้ายุ่งเหยิงอันเป็นเอกลักษณ์กำลังนอนซบอยู่บนแขนของตัวเอง เก้าอี้จากโต๊ะหนังสือถูกลากมาวางไว้ข้างเตียงและจับจองด้วยเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังหลับสนิทอยู่
เท็ตสึ?
อาโอมิเนะรู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เท็ตสึมาที่นี่ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมาทำอะไร แล้วทำไมมาหลับอยู่แบบนี้ อีกฝ่ายควรจะไม่สบายไปนอนอยู่โรงพยาบาลตามที่เขาคาดไม่ใช่หรอกเหรอ แล้วเขาหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลับไปนานแค่ไหน ทำไมเท็ตสึถึงเข้ามาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
การขยับตัวของเขาทำให้คนที่นอนอยู่ข้างเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เท็ตสึครางเสียงอ่อนเหมือนแมวนิดๆ ก่อนจะค่อยๆปรือนัยน์ตาสีฟ้าคู่โตนั่นขึ้นอย่างงัวเงีย
“อาโอมิเนะคุง..ตื่นแล้วเหรอครับ” คุโรโกะเงยหน้ามองคนที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมหาวออกมา
“เท็ตสึ!? นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ!?” อาโอมิเนะตะโกนเสียงดังอย่างตกใจและไม่เจียมตัวจนต้องไอออกมาอีกระลอก
“ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่มาซ้อม แม้แต่กับทีมหนึ่งก็ไม่เห็นตัว เลยไปถามโมโมอิซัง เธอบอกว่าคุณไม่สบายแล้วก็เป็นห่วงมาก เลยวานให้ผมมาดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างน่ะครับ” เด็กหนุ่มชี้แจงด้วยเสียงราบเรียบตามปกติของเจ้าตัว จงใจละเลยรายละเอียดบางส่วน เช่นที่ว่าเขาเป็นคนอาสาผู้จัดการสาวมาดูเองว่าอาโอมิเนะเป็นอย่างไรบ้าง และเป็นเขาเองที่เป็นห่วงอีกฝ่ายจนไม่มีแก่ใจจะฝึกซ้อม
“ยัยนั่น..”
“เอ่อ.. หรือถ้าคุณอยากให้โมโมอิซังมาก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมจะเรียกเธอให้”
“ฉัน...ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เดี๋ยวสิ ก่อนอื่น ฉันไม่ได้ไม่สบายตรงไหนซักหน่อย แล้วเท็ตสึ นายต่างหากที่ควรจะนอนอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เรอะ!?”
“เท่าที่จำได้...ผมยังไม่ได้หัวกระแทกหรือถูกรถชนบาดเจ็บอะไรตรงไหนนะครับ” คุโรโกะลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือเรียวเอื้อมไปสัมผัสหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีฟ้าใสจ้องลึกราวกับกำลังจับผิด “แล้วคนที่นอนมาทั้งวันแต่กลับตัวร้อนขนาดนี้จะไม่ได้ไม่สบายยังไง อาโอมิเนะคุงคงไม่ได้กินยาตามที่โมโมอิซังบอกสินะครับ”
มือแกร่งคว้ามือเล็กที่วางอยู่บนใบหน้าของตนไว้ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายกลับบ้าง “โอเค ฉันอาจจะไม่สบายอย่างที่นายว่าก็ได้ คงเป็นเพราะนอนค้างที่โรงยิมวันนั้นแน่ๆ แล้วนายล่ะ ไม่เป็นอะไรเหรอ ขนาดฉันยังไม่สบายแล้วนายตัวเล็กกว่าฉันตั้งเยอะน่ะ”
“ผมสบายดีครับ” คำว่าตัวเล็กทำให้คิ้วเรียวกระตุกขึ้นวูบนึง ก่อนความรู้สึกผิดจะฉายขึ้นแทนที่ในแววตา “เพราะผม ทำให้อาโอมิเนะคุงไม่สบาย ขอโทษด้วยนะครับ...”
“เฮ้ๆ อะไรกันไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย อย่าคิดมากไปเลยน่า” อาโอมิเนะยิ้มให้แล้วยกมืออีกข้างขึ้นขยี้หัวอีกฝ่ายจนยุ่งเหยิง คุโรโกะพยายามปัดมือสีแทนข้างนั้นออกไปจากหัวตนเองอย่างไม่พอใจ
แล้วร่างสูงก็เพิ่งสังเกตถึงมืออีกข้างของทั้งคู่ที่ยังกุมกันอยู่ หรือถ้าพูดให้ถูกคือมือเขายังจับมือของเท็ตสึอยู่ตั้งแต่เมื่อสักครู่ เขามองที่มือทั้งสองแล้วก็หันไปมองหน้าเจ้าของมืออีกฝั่ง ทำให้คุโรโกะที่เหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกันชะงักไป
“เอ่อ..โทษที” คำขอโทษนั้นไม่รู้ว่าสำหรับที่เล่นผมสีฟ้าจนยุ่งเหยิงหรือเรื่องอื่น มือแกร่งปล่อยมือออกแล้วยกขึ้นเกาหลังคอตัวเองแทน จู่ก็รู้สึกว่าไม่อาจสบตาอีกฝ่ายได้ขึ้นมาซะเฉยๆ
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัดชั่วครู่ใหญ่เหมือนไม่รู้จะพูด และไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมองใคร จนกระทั่งร่างเล็กเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“อาโอมิเนะคุง หิวรึยังครับ พอดีโมโมอิซังฝากข้าวกล่องมาให้” คุโรโกะก้มลงคุ้ยถุงที่เขาถือมาด้วย แล้วหยิบกล่องข้างใบนึงขึ้นมา
อาโอมิเนะมองข้าวกล่องนั้นด้วยสีหน้าปั้นยากราวกับกำลังมองวัตถุมีพิษความอันตรายระดับ 7 ยังไงยังงั้น “ไม่ดีกว่า ข้าวกล่องซัทสึกิน่ะ.. ฉันยังไม่อยากอาการแย่ลงกว่านี้หรอกนะ”
“เอ๋ ข้าวกล่องโมโมอิซังมันทำไมเหรอครับ”
“มันเลวร้ายจนเกินจะบรรยายเลยล่ะ ถึงฉันจะนับถือในความพยายามก็เถอะ”
คนอยู่บนเตียงทำอาการที่แสดงถึงการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แขนสองข้างยกขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาทพร้อมสีหน้าหวาดกลัวข้าวกล่องฝีมือผู้จัดการชมรมบาสมัธยมต้นเทย์โควอย่างสุดหัวใจ
คุโรโกะมองอาการนั้นแล้วใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจหยิบกล่องอีกกล่องขึ้นมาแทน “ถ้างั้น เอาอันนี้มั้ยล่ะครับ” มือเรียวเปิดฝากล่องให้ดูภายในแล้วพบว่าเต็มไปด้วย
ไข่ต้มเพียงอย่างเดียวจำนวนเกือบสิบฟอง
อาโอมิเนะทำหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีกับข้อเสนอนั้น แต่เมื่อกระเพาะส่งเสียงร้องประท้วงทันทีที่เห็นอาหารก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ นาทีนี้อะไรก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าข้าวกล่องของซัทสึกิทั้งนั้น
“ผมทำเป็นแต่ไข่ต้มน่ะครับ”
“หืม นายทำเอง?” ร่างสูงถามด้วยความประหลาดใจ เด็กหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่เหมือนเขาเห็นใบหน้าไร้อารมณ์นั้นขึ้นสีจางๆ
“เอามาเถอะ ตอนนี้ฉันหิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”
“อาโอมิเนะคุง ไม่สบายกินเนื้อเดี๋ยวอาหารก็ไม่ย่อยหรอกครับ”
“ยุ่งน่า”
คนป่วยรับข้าวกล่องที่ควรจะเรียกว่าไข่ต้มกล่องนั้นมาจากมืออีกฝ่ายก่อนจะลงมือกินไปอย่างว่าง่าย เขาพบว่าถึงจะเป็นไข่ต้มแต่ก็ไม่ได้รสชาติแย่มากเกินไปนัก ไข่ต้มมันก็คือไข่ต้มนั่นแหละ ใครจะทำไข่ต้มให้ไม่อร่อยได้กัน
.
.
.
.
“ไม่!”
“อาโอมิเนะคุง...อย่าทำตัวเป็นเด็กสิครับ”
“เรื่องแค่นี้ ออกไปเล่นบาสแป๊บเดียวก็หายแล้ว”
“แต่ถ้าไม่กิน ผมก็ไม่ให้คุณออกไปเล่นบาสนะครับ”
“นี่นายเป็นแม่ฉันรึไงห๊ะ!?”
“คุณก็อย่าทำตัวเป็นเด็กดื้อสิครับ”
สงครามขนาดย่อมที่กำลังจะปะทุขึ้นภายในห้องอพาร์ทเม้นท์เล็กๆหลังอาหารเย็น มีสาเหตุมาจากเด็กโข่งตัวสูงเกือบ 180* เซนติเมตรคนหนึ่งที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ยืนยันว่าไม่ยอมกินยาโดยเด็ดขาด ส่วนอีกคนที่สูงเพียงคางของอีกฝ่ายก็ยังคงเผชิญหน้าให้อีกฝ่ายกินยาแก้หวัดให้ได้อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่นิด
“ก็ได้ครับ งั้นเรามาเป่ายิ้งฉุบกัน ถ้าผมชนะอาโอมิเนะคุงต้องยอมกินยา แต่ถ้าคุณชนะผมจะปล่อยให้คุณไปเล่นบาสตามที่ต้องการตกลงมั้ยครับ”
“หืม? นายมั่นใจว่าตัวเองจะชนะขนาดนั้นเลย”
“ถ้าเป็นการแข่งบาสเก็ตบอลผมคงไม่กล้า แต่นี่มันก็แค่เป่ายิ้งฉุบ เรื่องของโชคล้วนๆน่ะครับ หรืออาโอมิเนะคุงไม่มั่นใจ”ริมฝีปากเหยียดยิ้มขึ้นกับคำท้าทายนั้น อาโอมิเนะลุกขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม ดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องสบกับสีฟ้าอ่อนของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ราวกับจะเห็นประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆในอากาศเสียด้วย
“เป่า ยิ้ง ฉุบ!”
มือขาวบางออกมาเป็นรูปชูสองนิ้วอันหมายถึงกรรไกร ส่วนมือสีแทนแบออกมาเป็นรูปร่างที่แสดงถึงกระดาษ เป็นอันว่าศึกครั้งนี้ชัยชนะตกเป็นของคุโรโกะ เท็ตสึยะ
“ไม่จริงน่า” เด็กหนุ่มร่างสูงมองฝ่ามือตัวเองที่ยังคงแบค้างอยู่อย่างไม่อยากเชื่อ
“ผมชนะ” คุโรโกะยกมือที่ชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ตัววีแล้วทำท่าขยับนิ้วเลียนแบบกรรไกร “ตัววีหมายถึง victory นะครับ”
ว่าแล้วก็ยื่นยาเม็ดแคปซูลสีสดใสให้อีกฝ่ายพร้อมกับน้ำแก้วนึง อาโอมิเนะที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมกลั้นใจกลืนยาเม็ดขมลงคอไปอย่างพะอืดพะอมแล้วรีบกินน้ำตามจนหมดแก้ว
“จำไว้เลยนะเท็ตสึ แค้นนี้ต้องชำระแน่”
TBC
No comments:
Post a Comment