Title : Replay
Author : freyaminnie
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Aomine x Kuroko
Rating : R
Warning : ตอนนี้มีทั้งวนิลลา....และมาม่า
14
เรือนผมสีน้ำทะเลชื้นเหงื่อลู่ลงแนบติดกับหนังศรีษะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีแดงระเรื่อตั้งแต่ผิวแก้มไปจนถึงปลายหู กลีบปากสีกุหลาบเผยออ้าหอบหายใจแผ่วไหว นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนหรี่ปรือฉ่ำน้ำสะท้อนภาพของบุคคลที่กำลังคร่อมกายอยู่เบื้องบน
มือสีแทนที่ลากไล้ไปตามผิวขาวเนียนละเอียดตัดกันราวกับผืนผ้าใบสีขาวที่โดนแต่งแต้มด้วยสีของหมึกวาด สร้างสรรค์เป็นภาพเขียนอันสวยงามสมบูรณ์แบบ แตะต้องไปทั่วทั้งร่างกายไม่มีส่วนใดเหลือไว้ไร้ซึ่งการตีตรา
ริมฝีปากหนาบดจูบหนักหน่วงลงบนกลีบปากบาง ลิ้มชิมรสตักตวงความหอมหวานเนิ่นนานราวไม่รู้จักจบสิ้น
มือใหญ่เลื่อนลงไปตามทางแห่งแรงปรารถนา ร่างบางบิดกายเร่าเมื่อจุดอ่อนไหวถูกครอบครองไว้ได้ ชักนำเพียงไม่กี่ครั้งก็นำพาไปสู่ห้วงภวังค์สีขาวโพลนได้โดยง่าย
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองผลงานของตนเองอย่างพึงใจ แนบกายลงทาบทับจนแทบไร้ซึ่งช่องว่าง ผิวกายเสียดสีกันจนร้อนรุ่ม เรียวขาขาวเกาะเกี่ยวกับสะโพกสอบไว้มั่น
ร่างเบื้องบนขยับกายจนอีกฝ่ายคลอนไหวไปด้วยตามแรงอารมณ์ นำทางล่างเบื้องใต้ขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดแห่งความปรารถนา
เสียงหอบครางหวานหูยิ่งกว่าเสียงดนตรีใดๆดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กรีดร้องชื่อร่างสูงกว่าออกมาเมื่อถึงจุดปลดปล่อยความทรมานในที่สุด
“อะ..อาโอมิเนะคุง!!!”
เฮือก!!
เด็กหนุ่มร่างสูงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน เหงื่อไหลโทรมกายแบบที่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เขากวาดตามองไปรอบๆแล้วก็พบว่าไม่ได้นอนอยู่ในห้องของตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบไปมองข้างกายแล้วก็พลันหายใจขาดห้วง เมื่อร่างของคนในความฝันกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆกันนั้นเอง
เด็กหนุ่มผมฟ้านอนหลับตาพริ้ม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในห้วงนิทรา อาการไข้ที่เคยมีคงจะลดลงไปบ้างแล้วเมื่อดูจากสีหน้าและท่าทางการนอนที่สงบนั้น
อาโอมิเนะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกคนไม่ได้รับรู้ถึงความฝันอันแสนจะน่าอับอายของเขา ก่อนจะนึกอะไรได้แล้วค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปในขอบกางเกงนอนเพื่อพบว่ามันเปียกชุ่มไปหมด
ถ้าหากเท็ตสึตื่นอยู่ และตอนนี้ไม่ใช่เวลากลางคืน และสีผิวของเขาไม่ได้เป็นสีเข้มล่ะก็ เขาเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายจะต้องเห็นว่าใบหน้าของเขากำลังขึ้นสีแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศอย่างชัดเจนแน่ๆ
ร่างสูงค่อยๆขยับกายออกห่างโดยระวังไม่ให้คนที่นอนเคียงข้างนั้นรู้สึกตัวตื่น เลื่อนตัวลงจากเตียงแล้วย่องไปยังประตูห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดคราบหลักฐานอย่างเงียบกริบที่สุด
อาโอมิเนะเอนหลังพิงประตู พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อันที่จริงเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กหนุ่มสุขภาพดีที่จะฝันถึงเรื่องลามกแล้วตื่นมาพร้อมคราบอะไรต่อมิอะไรเปื้อนเต็มกางเกง แต่เขาก็ยังไม่เคยได้ยินตำราไหนบอกว่าการฝันถึงเพื่อนสนิทของตัวเองในทำนองแบบนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่ตรงไหน
ทั้งหมดนี้ต้องเป็นเพราะเรื่องเฉียดหัวใจวายตายเมื่อตอนหัวค่ำอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะภาพของอีกฝ่ายตอนนั้นยังคงติดตาจนถึงกับต้องเก็บเอาไปฝันแบบนี้
เขาถอดกางเกงออกแล้วเปิดฝักบัวจะชำระล้างร่างกาย แต่แล้วเมื่อนึกถึงภาพในความฝันที่แจ่มชัดราวกับภาพวีดีโอที่นำมาฉายย้อนหลัง เมื่อนึกถึงคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในบนเตียงในห้องที่ห่างกันเพียงบานประตูกั้น ส่วนของร่างกายที่คอยจะทรยศเจ้าของอยู่เรื่อยก็พลันตื่นตัวขึ้นมาอีกรอบ
กว่าจะจัดการเสร็จกลับมาได้ก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง
หวังว่าพรุ่งนี้เท็ตสึคงจะไม่ถามนะว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนกางเกงนอน
เช้าแล้ว..
แสงแดดที่ร้อนแรงกว่าปกติบ่งบอกให้รู้ว่าเวลานี้อาจจะสายกว่าที่คิด แต่กระนั้นร่างกายก็ยังประท้วงว่าไม่อยากขยับลุกจากที่นอนเลยแม้แต่นิด
ปวดหัว...
อาการแรกที่สัมผัสได้เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่ พอลืมตาขึ้นอาการปวดมึนศีรษะราวกับบ้านกำลังหมุนไปมาบนลูกข่างขนาดใหญ่ก็ทำให้แทบจะต้องเซลงไปนอนแปะบนหมอนอีกรอบ
คุโรโกะค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผ้าขนหนูผืนเล็กหล่นลงปุลงมาบนตักทันทีที่ขยับเปลี่ยนท่าทำให้ต้องยกมือขึ้นจับบริเวณหน้าผาก สัมผัสของผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบหัวทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเขาเพิ่งจะถูกหามเข้าโรงพยาบาลมา
ใช้เวลาชั่วครู่สมองถึงเริ่มประมวลผลจากอาการต่างๆที่รู้สึกได้ว่า เขาอาจจะเป็นไข้
ถึงใจอยากจะล้มตัวลงนอนต่อมากเท่าไหร่ แต่กระเพาะอาหารยามนี้กลับไม่เป็นใจ อาการไข้ไม่ได้ทำให้คนหายอยากอาหารได้แต่อย่างใด ที่สำคัญกว่านั้นคือหิวน้ำจนคอแห้งไปหมด
เขาถอนหายใจ พยายามปรับสายตาที่คอยจะเอียงซ้ายขวาไปมาให้กลับมาอยู่ในแนวระดับปกติ เมื่อรู้สึกว่าหายมึนขึ้นบ้างจึงทรงตัวยืนอย่างมั่นคงที่สุดเท่าที่อาการปวดหัวตุบๆนี้จะอำนวยแล้วค่อยๆเกาะขอบกำแพงเดินออกจากห้อง ระหว่างทางก็เดินเตะนู่นเตะนี่ไปเรื่อย จะว่าไปก็แปลกอยู่เพราะปกติเขาจะเก็บของเรียบร้อยอยู่เสมอ บางทีอาจจะเพราะเดินเซไปมาด้วยล่ะมั้ง
ร่างโปร่งบางก้าวลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างได้อย่างน่าขอบคุณปาฏิหาริย์ใดๆก็ตามที่ทำให้เขาไม่หน้ามืดล้มหัวทิ่มลงมาเสียก่อน
เสียงใครกำลังทำอะไรบางอย่างดังมาจากบริเวณห้องครัวอันเป็นเป้าหมายในการเดินทางไกลที่มีจุดเริ่มต้นจากห้องนอนของเขา ขาเรียวพาเจ้าของเดินไปยังต้นตอของเสียงที่ได้ยิน
ร่างสูงผิวแทนกับเรือนผมสีน้ำเงินเข้มตัดสั้นอันเป็นเอกลักษณ์กำลังหันหลังทำอะไรวุ่นวายอยู่ในครัว เด็กหนุ่มถอนหายใจเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่ขโมยขึ้นบ้าน เพราะเขาคงไม่มีปัญญาจะไปจัดการปัญหาย่องเบาในตอนนี้ แต่กระนั้นการที่อาโอมิเนะ ไดกิอยู่ในครัวก็อาจจะเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงพอๆกันก็ได้
“อาโอมิเนะคุง ทำอะไรน่ะครับ?”
“เท็ตสึ! บอกแล้วไงว่าอย่าโผล่มาเงียบๆน่ะเจ้า.....” เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงเอ่ยทัก หันมาเตรียมจะโวยวายใส่คนที่ชอบโผล่มาข้างหลังคนอื่นเงียบๆเสียเหลือเกินแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มร่างบางยืนสะลึมสะลืออย่างไม่มั่นคงนัก นัยน์ตาปรือลงราวพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงมีสีแดงจางๆปรากฏอยู่
“เท็ตสึ!!? จะบ้าหรือไงลุกขึ้นมาทำไมน่ะ!?” ร่างสูงวางมือจากอะไรก็ตามที่กำลังทำอยู่ แล้วหันมาดึงแขนร่างเล็กไปหย่อนไว้บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะทันได้ประท้วงคำว่า ‘หิว’ ออกมาจากปากเสียอีก
กระนั้นดูเหมือนอาโอมิเนะจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาดันไหล่บางทั้งสองข้างให้นั่งลงแล้วกำชับสั่งก่อนจะหันหลังหายเข้าไปในครัวอีกรอบ
“นายนั่งรออยู่นี่ ห้ามลุกไปไหนอีกเข้าใจมั้ย!”
คนถูกสั่งมีสีหน้างุนงงแต่ก็ยอมนั่งเรียบร้อยรอจนกระทั่งร่างสูงกลับมาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังหมกมุ่นอยู่ตั้งแต่เดินลงมาจากห้อง
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนจ้องถ้วยทรงกระบอกตรงหน้าด้วยสีหน้าและแววตาว่างเปล่าราวกับคาดหวังว่าจะมีอะไรซักอย่างโผล่มาจากเจ้าถ้วยที่ว่านอกจาก
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“......นี่มัน การแก้แค้นสำหรับเรื่องไข่ต้มเมื่อคราวก่อนเหรอครับ” คุโรโกะถามหลังจากนิ่งไปเกือบสามนาทีจนได้เวลาที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยจะปรุงสุกพอดิบพอดี ความจริงเขาควรจะดีใจที่อีกฝ่ายไม่อุตริเกิดอยากทำข้าวต้มหรืออาหารอะไรก็ตามขึ้นมาจนบ้านเขาพินาศไปเสียก่อน
แต่การเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้คนป่วยกินเนี่ยมันจะไม่สิ้นคิดไปหน่อยเหรอ
“พูดมากน่า กินๆไปซะจะได้กินยา” เขายัดเยียดตะเกียบใส่มือบาง วางแก้วน้ำเปล่ากับยาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับบะหมี่อีกถ้วยของตัวเอง
“คุณมีชีวิตมาตลอดสิบกว่าปีด้วยบะหมี่ถ้วยได้ยังไงน่ะครับ” นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเหลือบมองคนที่เริ่มลงมือจัดการอาหารของตนด้วยความทึ่งเล็กน้อย
“คนที่ทำได้แต่ไข่ต้มอย่างนายยังมีหน้ามาพูดอีกเรอะ” ประโยคคำถามที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่เด็กหนุ่มร่างสูงกลับรู้สึกได้ว่ากำลังโดนหลอกด่าเลยสวนกลับเข้าให้
“อย่างน้อยผมก็มีอิคุมิคุงนะครับ”
“นายนี่... ภูมิใจนักรึไงให้น้องชายทำกับข้าวให้ตลอดน่ะ”
“ก็ดีกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกมือนั่นแหละครับ”
“ฉันไม่ได้กินบะหมี่ถ้วยทุกมื้อซักหน่อย!”
“แต่ผมไปบ้านคุณทีไรก็เห็นกินแต่ของพวกนี้นี่ครับ”
“หุบปากน่า เรื่องมากนักเดี๋ยวปั๊ดจับป้อนซะนี่”
“ไม่ได้เรื่องมากสักหน่อยครับ แค่เสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วง” คุโรโกะรีบเป็นฝ่ายตัดบทเมื่อเห็นว่าท่าทางของอาโอมิเนะเหมือนจะอยากจับอาหารยัดปากเขาเสียมากกว่าจะป้อน มือบางประกบเข้าหากันอย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยบทก่อนเริ่มลงมือทานอาหาร
“ทานล่ะนะครับ”
“อิ่มแล้วครับ” เสียงใสพูดพร้อมวางตะเกียบลงคู่กันเป็นสัญญาณว่าเพียงพอแล้วสำหรับอาหารมื้อนี้
“แค่เนี้ยเหรอ?” อาโอมิเนะมองถ้วยบะหมี่ที่พร่องไปยังไม่ถึงครึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา
คุโรโกะไม่สนใจปฏิกิริยานั้นแล้วหยิบยาใส่ปากพร้อมดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย ทำเอาอีกฝ่ายต้องเบิกตามองอีกรอบด้วยความประหลาดใจ
“ผมไม่ได้กินยายากเหมือนใครบางคนหรอกครับ” เพียงแค่เห็นสีหน้าก็เอ่ยได้ราวกับรู้ทัน อาโอมิเนะมัวแต่คิดประโยคที่จะมาตอบโต้จึงลืมเรื่องที่จะบังคับให้อีกฝ่ายพยายามกินมากกว่านี้ไปเสียสนิท
เสียงข้อความเข้าในมือถือขัดจังหวะบทสนทนา มือเรียวหยิบโทรศัพท์เครื่องสีฟ้าขึ้นมาดูแล้วพบว่าเป็นข้อความที่มาจากกัปตันทีมของพวกเขา
‘ไม่ต้องมาซ้อม รักษาตัวให้หายซะ ถ้าที่บ้านไม่มีใครก็ให้ไดกิอยู่ด้วย เข้าใจนะ’
ถ้าใครที่ไม่รู้จักอาคาชิ เซย์จูโร่มาก่อนคงประหลาดใจที่เด็กหนุ่มผู้นี้ราวกับสามารถรับรู้ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในและที่เกียวข้องกับชมรมบาสเก็ตบอลเทย์โควนี้ได้อย่างแม่นยำราวกับว่ามีหูมีตาอยู่ทั่วทั้งเมืองกระนั้น ไม่เพียงแต่จะรู้ว่าคุโรโกะมีไข้เกินกว่าจะฝืนลากสังขารออกไปฝึกซ้อมได้ แต่ยังรู้ด้วยว่าอาโอมิเนะมาค้างที่บ้านนี้ตั้งแต่เมื่อคืนอีกต่างหาก
สำหรับคนทั้งคู่ที่รู้จักคนๆนี้ดีแล้วนั้นเพียงแต่มองหน้ากันนิ่งๆ แม้ว่าร่างเล็กจะมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าโดนส่งให้งดซ้อมเพราะตัวเองป่วยแบบนี้
แต่แล้วเสียงข้อความเข้าอีกหนึ่งก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องสีน้ำเงินของอีกคนที่ดังขึ้นบ้าง อาโอมิเนะเปิดอ่านแล้วก็รีบปิดหน้าจอมือถือลงอย่างรวดเร็วก่อนที่เด็กหนุ่มร่างเล็กจะได้ทันชะโงกหน้ามาดูว่าข้อความนั้นเขียนว่าอย่างไร
“อ่า..จากซัทสึกิน่ะ บอกว่าจะจดเลคเชอร์ให้” เด็กหนุ่มผิวแทนโกหกอย่างไม่ค่อยจะแนบเนียน แล้วรีบเก็บโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงในกระเป๋ากางเกงให้พ้นมือโดยเร็ว ขายาวพาเจ้าของจ้ำอ้าวหนีไปพร้อมกับเก็บบรรดาบะหมี่ถ้วยไปทิ้งลงถังขยะให้ด้วย
โอเค มันไม่แปลกที่อาคาชิจะรู้เรื่องที่เท็ตสึไม่สบายหรือเรื่องที่เขาค้างมาจากซัทสึกิหรือใครก็ตาม แต่เรื่องอื่นนั้นน่ะ! เจ้าบ้านั่นติดกล้องสอดแนมไว้รอบบริเวณหรือยังไงกัน!!?
อาโอมิเนะหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าขึ้นมาเมื่ออยู่ในระยะปลอดภัย เขาเปิดหาข้อความเมื่อครู่ที่เขียนอย่างชัดเจนจนแทบไม่ต้องแปลความหมายใดๆว่า
‘ห้ามทำอะไรเท็ตสึยะโดยเด็ดขาด’
แล้วกดลบข้อความเจ้าปัญหานั้นทิ้งอย่างไม่ลังเล
หลังจากถือวิสาสะจัดการเก็บกวาดทั้งถ้วยบะหมี่และทำลายหลักฐานในมือถือทิ้งไปหมดเรียบร้อย พอกลับมาอีกทีก็เห็นคนป่วยฟุบหลับคาโซฟาในท่วงท่าที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะสบายไปเสียแล้ว
ร่างบางนอนขดตัวเอาหัวพิงหมอนอิงบนที่เท้าแขน ขาทั้งสองข้างห้อยลงมาจากขอบเก้าอี้นั่ง ส่วนแขนก็กอดตัวเองไว้หลวมๆ
“เฮ้ เท็ตสึ มานอนอะไรตรงนี้” เขาเขย่าตัวปลุกเมื่อเห็นคนหลับเริ่มจะตัวสั่นน้อยๆเพราะลมเย็นที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะตื่นกลับซุกตัวเข้าหาหมอนมากยิ่งขึ้น
อาโอมิเนะถอนหายใจ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นไว้ในวงแขนแล้วพาอีกฝ่ายขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ แม้กระทั่งการกระทำนั้นก็ไม่อาจปลุกให้คุโรโกะตื่นได้ เด็กหนุ่มกลับขยับตัวซุกใบหน้าเข้าหาต้นตอของความอบอุ่นคือแผ่นอกกว้างๆของคนอุ้มแทนเสียแบบนั้น
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองร่างในอ้อมแขนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านพลางคิดกับตัวเองอย่างปลงตกเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนและข้อความที่อาคาชิส่งมาให้
แล้วแบบนี้จะให้เขาห้ามใจไหวได้ยังไงกัน
TBC
No comments:
Post a Comment